เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 9 ก.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ได้เรียกประชุม 5 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ดีเอสไอ, สถาบันนิติวิทยาศาสตร์, สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) นำโดยนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.พศ.ในฐานะเลขาฯมหาเถรสมาคม โดยในที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการสืบสวน เส้นทางการเงินและการประพฤติไม่เหมาะสมของหลวงปู่เณรคำ โดยนายธาริตให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตนได้อนุมัติให้รับกรณีของเณรคำ เป็นคดีพิเศษตามข้อเสนอแนะของ พ.ต.ท. พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง โดยในที่ประชุมพบว่าเณรคำมีความผิดเข้าข่ายต้องถูกดำเนินคดีรวม 8 ข้อหาด้วยกัน
ประกอบด้วย 1.การใช้สื่อสารสนเทศลงโฆษณาอันเป็นเท็จ น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณชน ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 เกี่ยวกับการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ เนื่องจากมีการอ้างว่าได้เข้าเฝ้าพระอินทร์ ซึ่งพระอินทร์สั่งให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ ดีเอสไอวิเคราะห์เห็นว่าความผิดสำเร็จแล้ว
2.กรณีการกระทำชำเราเด็กหญิงและพรากผู้เยาว์ ซึ่งเป็นความผิดอาญามาตรา 277 และมาตรา 317 วรรคสาม
3.กรณีที่หลวงปู่เณรคำกับพวกมีพฤติกรรมหลบเลี่ยงภาษีรถหรู เบื้องต้นพบรถต้องสงสัย 9 คัน มีทั้งยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู, มินิคูเปอร์, นิสสันรุ่นซิโซโร่ เชื่อว่าน่าจะมีการนำออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และรถเบนซ์อีกจำนวนหนึ่งที่ซื้อใน จ.อุบลราชธานี
4.กรณีเสพยาเสพติดให้โทษ
5.การแสดงและใช้วุฒิการศึกษาเท็จว่าจบดอกเตอร์จากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก โดยเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษา
6.คดีฆ่าคนตายโดยประมาทจากการขับรถชนคนตาย
7.ความผิดฐานฟอกเงินกรณีการเบียดบังเงินบริจาคไปซื้อทรัพย์สินและนำเงินไปฝากในต่างประเทศ
และ 8.การอวดอุตริ อภินิหาร โดยหลังจากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษแล้วจะประสานกองปราบฯ ให้ส่งสำนวนที่สืบสวนมาอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอต่อไป