ที่ห้องพิจารณาคดี 205 ศาลจังหวัดมีนบุรี ถนนสีหบุรานุกิจ วันที่ 30 พ.ค. ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1790/2555
ที่พนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดมีนบุรีเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ร.ต.ท.เชิงชอบ ราชคม อดีตรอง สว.สส. กก.สส.บก.น.3, ด.ต.สมศักดิ์ ทิพย์รัศมีวงศ์ อดีตผบ.หมู่ ป. สน.ประชาสำราญ จ.ส.ต.ภัทระ วรชาณินธ์ อดีตผบ.หมู่ สน.จรเข้น้อย ส.ต.ท.นพดล พันธุ์อารีย์ อดีตผบ.หมู่ กก.สส.บก.น.3 และนายชวลิต กำเนิดขอนแก่น เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐาน ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน(ยาบ้า)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2555 เวลาประมาณ 01.00 น.
จำเลยทั้ง 5 ได้บังอาจร่วมกันยาบ้าจำนวน 305,200 เม็ด และไอซ์ น้ำหนัก 5 กก. ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.น.สืบสวนพบว่าจำเลยทั้ง 5 ซึ่งเป็นตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด บก.น.3 ดำเนินการโดยมิชอบโดยร่วมกันตรวจยึดยาเสพติดไว้ แต่ไม่ดำเนินคดีผู้ต้องหาที่กระทำผิด ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.น. จึงร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. เข้าตรวจสอบและจับกุมจำเลยทั้ง 5 ก่อนนำตัวไปตรวจสอบพบยาเสพติดของกลางที่รถยนต์ของจำเลย จึงดำเนินคดีกับจำเลยทั้ง 5 คน ในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า,ไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนนำตัวจำเลยทั้งหมดพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดี เหตุเกิดที่ กก.สส. บก.น.3 แขวงและเขตมีนบุรี กทม. โดยในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานโจทก์เบิกความเป็นลำดับสำคัญเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง
โดยได้ติดตามพฤติการณ์ของจำเลยทั้ง5มาเป็นเวลานาน อีกทั้งพยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานและเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลย จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัย เชื่อว่าเบิกความไปตามที่พบเห็นจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยจำเลยที่ 1-4 ได้ไปพบผู้ต้องหาคดียาเสพติดพร้อมด้วยของกลาง แต่กลับไม่นำตัวส่งดำเนินคดีและยังได้ปล่อยผู้ต้องหาไป อีกทั้งเมื่อจำเลยได้นำยาเสพติดของกลางกลับมาที่ กก.สส. บก.น.3 แล้ว ก็ไม่มีการทำบันทึกตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และยังไม่รายงานต่อผู้บังคับบัญชา ทั้งที่การจับกุมยาเสพติดจำนวนมากย่อมเป็นผลงานดีเด่น จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่รายงานผู้บังคับบัญชา และไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะต้องปล่อยผู้ต้องหาในคดียาเสพติดไป
ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1-4 ที่ระบุว่า ไม่มีเจตนาที่จะไม่นำยาเสพติดของกลางมาทำการบันทึกจบกุมและไม่รายงานต่อผู้บังคับบัญชา ไม่มีน้ำหนักรับฟังเพียงพอ
ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1-4 ยึดยาเสพติดไว้เพื่อประโยชน์แห่งตน ส่วนจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นพลเรือน ทำหน้าที่คอยรับใช้และทำตามจำเลยที่ 1 โดยการช่วยเหลือขับรถให้ ซึ่งการที่จำเลยที่ 1-4 จะปล่อยตัวผู้ต้องหาหรือกระทำการใดๆ ไม่จำเป็นต้องปรึกษาจำเลยที่5 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้เชื่อว่ากระทำผิดตามฟ้องจริง
พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-4 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ลงโทษประหารชีวิต
คำให้การของจำเลยที่ 1-4 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีบ้าง ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1-4 ไว้ตลอดชีวิต ริบของกลาง ส่วนจำเลยที่ 5 ไม่ได้เป็นผู้ร่วมออกความคิดเห็นด้วย แต่ต้องทำตามจำเลยที่1 และได้ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัย ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่5 แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์.