รถพ่วงเกี่ยวสะพานลอย ถ.บรมราชชนนี ขาออก ถล่มทับกระบะที่ขับตามหลังมาทำให้คนขับดับคาที่ จนท.ปิดการจราจรเร่งขนย้ายคอนกรีตน้ำหนักกว่า 30 ตัน ออก คาดใช้เวลา 6 ช.ม.
วันที่ 10 พ.ค.56 เมื่อเวลา 03.00 น. ร.ต.ท.วสันต์ มั่นคง พนักงานสอบสวน สน.ธรรมศาลา
ได้รับแจ้งเหตุรถพ่วงเกี่ยวสะพานลอยทำให้ตัวสะพานลอยถล่มโค่นลงมาทับรถกระบะมีผู้เสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณหน้าปั๊มน้ำมันบางจาก ถนนบรมราชชนนีขาออก ช่วงตัดพุทธมณฑลสาย 3 แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้วรุดไปตรวจสอบพร้อมแพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช เจ้าหน้าที่สำนักงานบำรุงทางธนบุรี กรมทางหลวง และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุอยู่บนถนนช่องทางด่วนเลนขวาสุด เจ้าหน้าที่พบรถกระบะยี่ห้อมาสด้า รุ่นบีที 50 สีบรอนซ์เทา ทะเบียน บม 9630 พิษณุโลก
ที่กระบะหลังบรรทุกเนื้อควายมาเต็มคัน จอดอยู่ในสภาพตัวถังรถด้านหน้าตั้งแต่ฝากระโปรงถึงห้องโดยสารถูกแผ่นคอนกรีตสะพานลอยน้ำหนักกว่า 30 ตัน ร่วงลงมาทับจนพังยับเยิน ส่งผลให้ผู้ขับขี่รถคันดังกล่าวเสียชีวิตอย่างสยดสยองติดอยู่ในตัวรถ เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องช่วยกันใช้อุปกรณ์ตัดถ่างนำร่างออกมาชันสูตรด้วยความทุลักทุเล ทราบชื่อต่อมาคือ นายมนัส มะทะหมัด อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 101/801 หมู่ 7 แขวงลำผักชี เขตหนองจอก กทม.สภาพศพสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีแดงคาดดำ นุ่งกางเกงยีนขายาว ใส่รองเท้าผ้าใบสีขาว มีบาดแผลถูกกดทับที่ใบหน้ายุบ กะโหลกศีรษะแตกเลือดปนมันสมองกระจายเกลื่อนพื้นห้องโดยสาร แขนขาทั้งสองข้างหักผิดรูป นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบรถพ่วง 28 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุสีขาว ทะเบียน 70-6734 ชลบุรี ของ บจก.หลักทอง โลจิสติกส์ บรรทุกอุปกรณ์แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลขนาดใหญ่สูงประมาณ 5 เมตร ซึ่งเป็นรถคู่กรณีจอดเลยไปด้านหน้าห่างจุดที่เกิดเหตุประมาณ 200 เมตร มี นายทนงศักดิ์ สถิตเป้า อายุ 43 ปี เป็นผู้ขับขี่ยืนรอให้การกับเจ้าหน้าที่อยู่ในอาการตระหนก
จากการสอบสวนนายทนงศักดิ์ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุตนพร้อมพรรคพวกซึ่งขับขี่รถพ่วงด้วยกันอีก 2 คัน
ขับรถไปรับอุปกรณ์แท่นขุดเจาะน้ำมันจากโรงงานแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อจะมุ่งหน้าไปส่งให้ลูกค้าเครือเชฟรอน ยักษ์ใหญ่วงการขุดเจาะน้ำมัน ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยระหว่างที่พวกตนทั้ง 3 คัน ขับตามกันออกมาจากโรงงานนั้นทางผู้จ้างวานก็ได้จัดหารถเก๋งตำรวจจราจรกลางนำขบวนมาให้เพื่อความสะดวกด้วย แต่ขณะที่ขบวนรถแล่นผ่านตรงจุดเกิดเหตุซึ่งตอนนั้นตนขับรถนำอยู่หัวขบวนในเลนซ้ายสุดกลับรู้สึกว่าท่อน้ำมันขนาดใหญ่ความยาวราว 10 เมตร สูงจากพื้นดินเกือบ 6 เมตร ที่ติดตั้งอยู่กับอุปกรณ์แท่นเจาะน้ำมันด้านบนเกิดครูดกับแผ่นคอนกรีตใต้สะพานลอยจนมีเสียงดังทำให้สะพานเกิดการยกตัวก่อนจะพังถล่มลงมาทับรถกระบะที่พยายามแซงออกทางเลนขวาจนคนขับเสียชีวิต ส่วนโชเฟอร์รถพ่วงอีก 2 คันด้านท้ายที่ขับตามมาโชคดีสามารถหยุดรถได้ทัน จึงไม่พุ่งชนกันซ้ำซ้อน ส่วนรถตำรวจที่เปิดไฟนำทางมาตั้งแต่ทีแรกก็ได้เร่งเครื่องหายไป ตนไม่แน่ใจว่าพลขับรถนำทางจะรู้หรือเปล่าเรื่องรถในขบวนประสบอุบัติเหตุ
ขณะที่ นายณรงค์ศักดิ์ นันทคำภิรา รองผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรม สำนักงานบำรุงทางธนบุรี กรมทางหลวง
เปิดเผยว่า สะพานลอยดังกล่าวก่อสร้างขึ้นเพื่อให้คนเดินข้ามระหว่างถนนบรมราชชนนีฝั่งขาเข้าและขาออก มีระยะทางยาวประมาณ 60 เมตร สูงจากพื้นถนน 6 เมตร ส่วนพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายคือแผ่นคอนกรีตที่ใช้เดินเท้าพังถล่มลงมาทับเส้นทางการจราจรตลอดแนวในฝั่งขาออกยาวกว่า 30 เมตร น้ำหนักร่วม 30 ตัน มูลค่าราว 3 ล้านบาทเศษ ขณะนี้ได้ประสานให้รถเครนขนาดใหญ่ จำนวน 4 คัน เร่งเดินทางมาช่วยกันยกแผ่นคอนกรีตให้พ้นทางการจราจรแล้วคาดว่าจะใช้เวลานานเกือบ 6 ชั่วโมง ถึงแล้วเสร็จจนสามารถเปิดเส้นทางการจราจรให้ประชาชนใช้งานได้ตามปกติ
ด้าน ร.ต.ท.วสันต์ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี กล่าวว่า เบื้องต้นได้ควบคุมตัว นายทนงศักดิ์
โชเฟอร์รถพ่วงไว้ทำการสอบสวนก่อนแจ้งข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินทางราชการได้รับความเสียหาย เอาไว้ก่อน ส่วนเรื่องการช่วยเหลือชดเชยค่าทำศพของผู้เสียชีวิตและการชดใช้ความเสียหายทั้งหมดทางบริษัทเจ้าของรถได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ประกันภัยเข้ามาดำเนินการแล้ว สำหรับประเด็นที่มีรถตำรวจจราจรกลางขับนำขบวนรถพ่วงมาตนไม่ทราบรายละเอียดเนื่องจากไม่ได้มีการประสานเอาไว้ก่อน