เมื่อเวลา 13.40 น. วันที่ 8 พ.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ให้นำหนังสือเรียกให้ตนและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้ารับทราบข้อกล่าวหาจากนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ โดยตนได้รับหนังสือเรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาตามหนังสือเรียกในวันที่ 14 พ.ค.นี้ เวลา 10.00 น. ที่ดีเอสไอ
โดยในครั้งนี้ นายธาริต ได้ตั้งข้อหาตนเพิ่มอีก 2ข้อหา คือ
1.ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล จากกรณีการเสียชีวิตของด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ และ
2.ความผิดฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล กรณีพยายามฆ่านายสมร ไหมทอง ซึ่งทั้งหมดเป็นเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ปี 2553 ในขณะนั้นตนเป็นรองนายกฯ และเป็นผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งในข้อเท็จจริงตามหลักการของกฎหมาย การที่เจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองในขณะที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติทุกคนจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย โดยจะไม่มีความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา
“สำหรับกรณีของผมและนายอภิสิทธิ์ หากมีการกล่าวหาว่ากระทำความผิด ก็ไม่ใช้อำนาจของดีเอสไอ แต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่นายธาริต พยายามตั้งตัวเป็นพนักงานสอบสวนเอาผิดผมและนายอภิสิทธิ์ ซึ่งก่อนหน้านี้นายธาริต ก็เคยทำเช่นนี้ตนก็ได้ร้องต่อศาลว่า นายธาริต ใช้อำนาจหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ดังนั้นในคราวนี้ตนก็จะไปให้นายธาริต สอบ และรับทราบข้อกล่าวหา จากนั้นจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายธาริต โดยจะฟ้องแยกเป็นคดี ๆ ไป เหมือนกับที่นายธาริต ทำกับผม ส่วนนายธาริต ซึ่งเป็นกรรมการศอฉ.จำเป็นต้องร่วมรับผิดชอบกับพวกผมหรือไม่นั้น ตอนนี้คงพูดเช่นนั้นคงไม่ได้ เพราะนายธาริต เป็นคนทั่วไป คงจะไปคาดหวังอะไรไม่ได้ แต่การยัดข้อหาให้ผมและนายอภิสิทธิ์ มาก ๆ จนไม่สามารถกระดิกไปไหน เชื่อได้เลยว่า เป็นการกดดันบีบบังคับให้ผมและนายอภิสิทธิ์ จำยอมให้รัฐบาลออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบริวาร แต่ผมยืนยันได้ว่า ไม่สำเร็จแน่นอน เพราะผมจะสู้ทุกคดีไม่ยอมสยบให้อธรรม ถือเสียว่า ผมเกิดมาในช่วงที่อธรรมครองเมืองก็ต้องก้มหน้าสู้คดีไป” นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวว่า ขอฝากไปยังประชาชนว่าอย่ายอมให้เขาเอากฎหมู่มาอยู่เหนือกฎหมาย และอย่าให้ยอมให้ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ไม่ถูกต้อง หรือใช้พวกมากลากไปในสภา เขียนกฎหมายยกเว้นโทษ ลบความผิดให้พวกเขาเอง เพราะจะถือว่าเป็นการทำลายหลักสำคัญของบ้านเมือง ส่วนที่กลุ่มคนเสื้อแดงกดดันไล่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น เชื่อว่าตุลาการจะไม่หวั่นไหว ตอนนี้ต้องยอมรับว่าพ.ต.ท.ทักษิณ มีอำนาจสั่งการให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้ คนเหล่านี้ฮึกเหิม ไม่เคารพประชาธิปไตย แต่เชื่อว่าประชาชนจะทนไม่ได้ และที่สุดรัฐบาลจะได้รับผลกรรม วันนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนคนไทย แต่ทำตามคำสั่งของพ.ต.ท.ทักษิณ โดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด เช่นยอมไปปาฐกถาที่ประเทศมองโกเลียบิดเบือนความจริง ใส่ร้ายประเทศไทยในเวทีโลกอย่างที่ไม่เคยมีผู้นำชาติไหนเคยทำมาก่อน
จากนั้นเวลา 14.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์หลังรับหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และรับทราบข้อกล่าวหาฐานก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ว่า ตนคงไปรับทราบข้อกล่าวหาพร้อมกับนายสุเทพ ในวันที่ 14 พ.ค.นี้ ซึ่งข้อกล่าวหาของดีเอสไอก็เหมือนเดิม เพราะดูเหมือนว่าดูบนฐานแนวความคิดเดิมๆ เพียงแต่มีคำพิพากษาในเหตุการณ์เดียวกันหรือลักษณะเดียวกันเพิ่มเข้ามา และมีกรณีของคนที่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนการฟ้องกลับนั้นตนคงต้องไปรับทราบการแจ้งข้อหาก่อนว่าเป็นอย่างไร และการไปรับทราบข้อหาครั้งนี้ คงเป็นการให้ข้อมูลเพิ่มเติมจากที่เคยไปมาแล้ว ทั้งนี้คิดว่าแรงบีบครั้งนี้ไม่มีผลอะไร
“ถือเป็นพฤติกรรมเดิมๆ ถ้าคิดว่าหวังให้ตรงนี้จะเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้กับใครในการต่อรองก็ไม่มีผล และไม่อยากให้คนที่มีหน้าที่ตามกฎหมายไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ฉะนั้นถ้าเป็นการกระทำซึ่งผิดกฎหมาย ผมก็มีสิทธิ์ในการที่จะใช้สิทธิ์เช่นกัน และใครที่มีหน้าที่แล้วไม่ทำอะไรตามเนื้อของกฎหมาย ในที่สุดก็ต้องรับผิดชอบ”นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่า การถูกดำเนินคดีหลายคดีจะส่งผลอะไรกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพบ้าง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงเป็นเรื่องเวลา เพราะต้องใช้เวลามาอธิบายและชี้แจง แต่ผลกระทบในการทำงานอื่นๆไม่มี และไม่ทำให้เสียสมาธิกับการเมืองที่กำลังเข้มข้นขึ้นในขณะนี้ แต่คิดว่าทำให้สังคมและภาพความชัดเจนเป็นที่รับรู้มากขึ้น เกี่ยวกับลักษณะการใช้อำนาจของรัฐบาลในขณะนี้