"ตำรวจ" มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองความปลอดภัย ยอมเสียสละ ทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อระงับทุกข์ และบำรุงสุข ให้แก่ประชาชน ตามหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ดั่งที่เคยให้คำสัตย์ปฏิญาณเอาไว้ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของตำรวจไทย และจะต้องนำกฎหมายมาบังคับใช้อย่างถูกต้องและเป็นธรรมโดยไม่ทำตัวเป็นผู้ อยู่เหนือกฎหมายเสียเอง

               ล่าสุด มีผู้ที่อ้างว่าไม่ได้รับความยุติธรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ โดยถูกตำรวจทำร้ายร่างกาย ผู้เป็นแม่ร้อนใจในสิ่งที่ลูกชายถูกกระทำจากน้ำมือของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จึงเข้าร้องขอความเป็นธรรมจากมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี

               นางอิฐญา (สงวนนามสกุล)  อายุ 36 ปี เข้าร้องเรียนต่อมูลนิธิปวีณาว่า  ลูกชายอายุ 16 ปี ถูกชายฉกรรจ์  3 คน อ้างตัวว่าเป็นตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด สภ.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จับกุมข้อหาเสพยาเสพติด และถูกตำรวจชุดดังกล่าวทำร้ายร่างกายจนลำไส้แตก แม้ว่าตอนนี้ลูกชายอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชาย อาจเป็นการกระทำเกินเหตุของผู้ที่อ้างตัวเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และเกรงว่าลูกชายจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงเข้าร้องเรียนมูลนิธิปวีณา

               นางอิฐญา ให้ข้อมูลกับ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิว่า สืบเนื่องจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยใหญ่ จับกุม นายแพะ (ไม่ทราบนามสกุล) ข้อหาเสพยาเสพติด และได้ให้การว่าซื้อยาเสพติด (ยาบ้า) มาจากลูกชายและสามี ตามข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอยู่ก่อนหน้าแล้ว จึงวางแผนให้นายแพะโทรศัพท์เรียกลูกชายของเธอไปพบบริเวณตู้ยามสถานีรถไฟ จุดบ้านห้วยขวาง หมู่ 7 ต.ห้วยใหญ่ แต่เมื่อไปถึง ลูกชายได้ถูกชายฉกรรจ์ 3 คนอ้างตัวว่าเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติด สภ.ห้วยใหญ่ และ 1 ใน 3 มียศเป็นนายร้อยตำรวจ และอีก 1 คนเป็นอาสาสมัครตำรวจชุมชน

               ทันทีที่ชายฉกรรจ์ทั้ง 3 คนจับกุมตัวบุตรชายได้ใส่กุญแจมือและพยายามเค้นสอบสวนลูกชายเพื่อให้บอก แหล่งที่ซื้อยาเสพติดมาเสพ เมื่อไม่ได้คำตอบ ชายฉกรรจ์ทั้ง 3 ก็ใช้กำลังซ้อมทำร้ายร่างกาย บริเวณหน้าท้องหลายครั้ง และยังใช้อาวุธปืนจ่อศีรษะ และใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าแรงสูงจี้ที่ต้นคอ จนลูกชายล้มกลิ้งไปกองกับพื้น จากนั้นชายฉกรรจ์ทั้ง 3 คนยังบังคับให้ไปที่บ้านของตน เพื่อจับกุมสามีของเธอ เนื่องจากสามีชื่อไปตรงกับเอเย่นต์จำหน่ายยาเสพติดในพื้นที่ (บ้านทุ่งละหาน หมู่ 8) ต.ห้วยใหญ่ ตามข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีอยู่ แต่เมื่อตำรวจมาตรวจดูบัตรประชาชนสามี จึงทราบว่าเป็นคนละคนกัน แต่ตำรวจก็จับสามีในข้อเสพยาเสพติด เพราะสามีและบุตรชายมีพฤติกรรมเสพยาเสพติดอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว

               หลังจากตำรวจจับกุมบุตรชายไปสอบสวน ที่สภ.ห้วยใหญ่ บุตรชายมีอาการปวดท้องอย่างหนัก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม พร้อมกับปล่อยบุตรชายกลับมาบ้าน แต่อาการยังไม่ดีขึ้น จึงพาบุตรชายมาให้แพทย์รักษาอาการที่โรงพยาบาลบางละมุงต่อทันที กระทั่งแพทย์ได้แจ้งว่าบุตรชายลำไส้แตกภายใน และมีอาการเลือดออกมาจากลำไส้ จะต้องผ่าตัดเป็นการเร่งด่วนเพื่อช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บ

               นางอิฐญา กล่าวว่า เรื่องที่บุตรชายของตนไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดนั้น พยายามตักเตือนมาโดยตลอด แต่การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ หาเขากระทำผิด ก็ควรจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่ควรทำร้ายเยาวชนถึงขั้นนี้

               ความคืบหน้าของคดีนี้ หลังจากนางปวีณา พานางอิฐญาเข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.สมัย สมจิต พงส.ผนพ.หน.พนักงานสอบสวน เจ้าของคดี เบื้องต้นได้สอบปากคำนางอิฐญาเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้สอบปากคำลูกชาย ซึ่งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เนื่องจากอยู่ระหว่างรักษาอาการให้ดีขึ้นก่อน และหลังจากที่สอบปากคำผู้เสียหายเรียบร้อย จึงจะเรียกตำรวจชุดที่จับดังกล่าวมาสอบสวน และพร้อมให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย

               ด้าน พล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี กล่าวว่า กรณีดังกล่าวหากผู้เสียหายยันยืนว่าทางตำรวจชุดจับกุมมีการกระทำเกินเหตุ จริง ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย คือตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย และทางอาญา ถ้าหากว่าศาลตัดสินว่าผิดจริง ก็ต้องออกจากราชการไว้ก่อน จึงอยากจะฝากถึงตำรวจทั้งหลายขอให้ยึดหลักระเบียบในการทำงานตามกฎหมายอย่าง เคร่งครัด อย่าใช้กฎหมายที่มีอยู่ กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกินเลยความเหมาะสม เพราะที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้ว ตำรวจก็ย่อมอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นกัน

.......................

(หมายเหตุ : ถูกซ้อม'ไส้แตก' ร้องปวีณา..ช่วย'ลูกชาย' : ตะลุยข่าว โดยทีมข่าวภูมิภาค)