เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ นางจิราพร เด่นงามวศิน อายุ 32 ปี แม่ค้าขายลูกชิ้นทอด อยู่บ้านเลขที่ 223 ถ.มรุพงษ์ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
เข้าร้องเรียนผู้สื่อข่าวว่า เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. วันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา ตนได้พาลูกสาว คือ ด.ญ.เอ (นามสมมุติ) อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ม.2/9 โรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.ท.พร้อมพงษ์ เทพทับทิม ร้อยเวรสอบสวน สภ.ฉะเชิงเทรา เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายจิรวัฒน์ สุทาวงศ์ ซึ่งเป็นครูสอนวิชาดนตรีไทย ของโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร เนื่องจากครูคนดังกล่าวไม่พอใจที่ลูกสาวของตนใส่ต่างหูมาโรงเรียน และได้ลงโทษด้วยการทุบตีลูกสาวของตนอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ จนร่างกายบอบช้ำ และมีอาการป่วยเป็นไข้
จากการสอบถาม ด.ญ.เอ กล่าวว่า ขณะที่ตนเองพร้อมกับเพื่อนๆ ในชั้นเรียนจำนวน 35 คน
กำลังนั่งรอเพื่อเตรียมเข้าห้องสอบในช่วงบ่ายของวันที่ 26 ก.พ. ขณะนั้นนายจิรวัฒน์ เดินเข้ามาหาเพื่อนร่วมชั้นเรียนของตน ก่อนจะว่ากล่าวตักเตือนในเรื่องที่นักเรียนคนดังกล่าวใส่ต่างหูมาโรงเรียน เนื่องจากเป็นกฎข้อห้ามของทางโรงเรียน จากนั้นอาจารย์ชายรายนี้ ก็เรียกตรวจนักเรียนทั้งชั้นเรียนมารวมกัน ก่อนจะเดินมุ่งหน้ามาที่ตน และใช้มือกดหัวก่อนจะทุบหลังของตนอย่างแรง ทำให้ตนเองล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น จนอาจารย์ประจำชั้นที่อยู่ภายในห้องสอบต้องวิ่งออกมาดู เนื่องจากการทุบหลังดังกล่าวมีเสียงดังมาก ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้อาจารย์ชายรายนี้ ยังคงแสดงพฤติแบบนี้กับเด็กนักเรียนหญิง อีกจำนวน 2 คน ที่สวมใส่ต่างหูมาโรงเรียน
ด้านนางจิราพร แม่ของ ด.ญ.เอ ผู้เสียหาย กล่าวอีกว่า อาจารย์ชายคนดังกล่าว เป็นอาจารย์ที่สอนวิชาดนตรีไทย
ปกติแล้วไม่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจระเบียบของนักเรียน เนื่องจากหน้าที่ดังกล่าวเป็นของอาจารย์ฝ่ายปกครอง อีกทั้งการกระทำดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ควรจะว่ากล่าวตักเตือนหรือยึดของไป ไม่ใช่กระทำการรุนแรงกับเด็กแบบนี้ โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิง จึงได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม อีกทั้งเพื่อต้องการให้ดำเนินคดีกับครูรายนี้ เนื่องจากแสดงพฤติที่รุนแรงก้าวร้าวกับนักเรียนหลายคนภายในโรงเรียน ซึ่งหลังจากตนเองแจ้งความเสร็จจะพา ด.ญ.เอ ไปตรวจร่างกายยังโรงพยาบาลพุทธโสธร เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการแจ้งความดำเนินคดีในครั้งนี้ แต่เนื่องจากคดียังไม่มีความคืบหน้า จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าว