สอบสวนเบื้องต้น นายพงศ์พัฒน์ ให้การอ้างว่า ได้ร่วมรักกับ น.ส.บีบี้ ผู้เสียหายจริง แต่เป็นการสมยอมของทั้ง 2 ฝ่าย
ทั้งนี้ในคืนเกิดเหตุตนพร้อมเพื่อน 5 คนขับรถ จยย.ไปเที่ยวดื่มกินที่ร้าน “นครเวียงจันทร์” และได้พบ น.ส.บีบี้ ผู้เสียหายซึ่งอยู่ในอาการเมามายอย่างหนัก กำลังอาละวาดเอะอะโวยวายและเดินไปทั่วร้านพร้อมชกต่อยตบตีแขกที่นั่งอยู่ตามโต๊ะต่าง ๆ จนชุลมุนวุ่นวาย แม้แต่ตนก็ยังถูก น.ส.บีบี้ ผู้เสียหายชกต่อยตบตีเช่นกัน แต่ตนก็ไม่โกรธเพราะเห็นว่า น.ส.บีบี้เมามากแล้วและการชกต่อยตบตีก็ไม่รุนแรงนัก
กระทั่ง รปภ.มานำตัว น.ส.บีบี้ออกไปจากร้าน แต่สักพัก น.ส.บีบี้ ผู้เสียหายก็เดินเข้ามาในร้านอีก
และพยายามจะเดินขึ้นไปบันไดจนเสียหลักล้มหัวเข่าไปกระแทกกับหัวตะปูที่ตอกราวบันได เป็นฉีกขาดแผลเลือดไหลโชก รปภ.ของทางร้านจึงนำ น.ส.บีบี้ออกไปนั่งที่โซฟานอกร้านเป็นครั้งที่ 2 ขณะที่ตนและเพื่อนกำลังจะกลับบ้านพบ น.ส.บีบี้ กำลังนั่งร้องไห้และตะโกนโวยวายอยู่หน้าร้าน โดยมีเลือดไหลออกจากแผลที่หัวเข่าตลอดเวลา
นายพงศ์พัฒน์ ยังอ้างว่า ตนสงสารจึงไปหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็คเลือดให้ระหว่างนั้นได้ เหลือบไปเห็นเรียวขาของน.ส.บีบี้ซึ่งนุ่งกระโปรงสั้นและแต่งตัววาบหวิว จึงเกิดอารมณ์ทางเพศ เป็นอย่างมาก จึงคิดที่จะหาทางมีเพศสัมพันธ์กับ น.ส.บีบี้ จึงเดินไปมาในบริเวณนั้นเพื่อรอโอกาส
กระทั่งน.ส.บีบี้เดินขึ้นไปนั่งร้องไห้บนระเบียงระเบียงชั้น 2 ตนพร้อมเพื่อนอีกคนจึงเดินตามขึ้นไป
พบ น.ส.บีบี้นอนอยู่บนพื้นปูน จึงเข้าไปร่วมรักด้วย โดยมีเพื่อนนั่งดูอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา แต่เนื่องจาก น.ส.บีบี้อยู่ในอาการเมามายไม่ได้สติทำให้ตนไม่มีอารมณ์อวัยวะเพศจึงอ่อนตัวการร่วมรักจึงไม่สำเร็จความใคร่ ตนจึงชวนเพื่อนขับรถ จยย.กลับที่พัก ก่อนจะกลับมาร่วมรักกับผู้เสียหายอีกครั้ง แต่ไม่สำเร็จเช่นเดิม โดยผู้เสียหายไม่ขัดขืน
ต่อมาตำรวจนำตัวตัวเพื่อน 2 คน ที่นายพงศ์พัฒน์ให้การพาดพิงว่า อยู่ร่วมในวันเกิดเหตุ มาสอบสวนปากคำ
โดยทั้งสองคนให้การตรงกันว่าไม่ได้ร่วมข่มขืน น.ส.บี้บี้เป็นเพียงนั่งดูใกล้ และทั้งสองครั้ง น.ส.บีบี้ไม่ได้มีลักษณะอาการต่อสู้ขัดขืนแม้แต่น้อย เหมือนเป็นการสมยอม ซึ่งแม้ตนทั้งสองจะมีอารมณ์ทางเพศแต่ไม่กล้าร่วมรักกับ น.ส.บีบี้ เพราะ น.ส.บีบี้อยู่ในสภาพกลิ่นเหล้าโชยฟุ้ง มีแค่นายพงศ์พัฒน์ ปฏิบัติกามกิจไปคนเดียว แต่ทราบว่าไม่สำเร็จกิจทั้งสองครั้ง
กระทั่งในเวลา 09.00 น.วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญ น.ส.บีบี้ ผู้เสียหาย มาชี้ตัวผู้ต้องหา
โดยมีนายโอมา แฟนหนุ่มและเพื่อน ๆ ชาวต่างชาติเดินทางมาร่วมเป็นพยานด้วย แต่น.ส.บีบี้ กลับไม่ยอมชี้ตัวอ้างว่าจำไม่ได้ เจ้าหน้าที่จึงอนุญาตให้ น.ส.บีบี้กลับไปพักผ่อน ส่วนตำรวจได้ควบคุมตัวนายพงศ์พัฒน์ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ โดยมีพนักงานห้างสรรพสินค้าโรบินสัน-โอเชี่ยน พนักงานบริษัทห้างร้านในละแวกใกล้เคียง รวมทั้งประชาชนที่ทราบข่าวแห่ไปมุงดูการทำแผนประกอบคำรับสารภาพนับ 100 คน ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีการทำแผนประกอบคำรับสารภาพจึงเสร็จสิ้น
พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว จึงให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ตำรวจมีทั้งพยานบุคคล ภาพจากกล้องวงจรปิดเชื่อมโยงกันแต่ละช่วงเวลาอย่างชัดเจน
ในกรณีที่แพทย์ระบุผลการตรวจร่างกายว่า พบน้ำอสุจิและเม็ดทรายในช่องคลอด น.ส.บีบี้ แต่ยังระบุไม่ได้ว่าน้ำอสุจิเป็นของนายโอมา แฟนหนุ่มหรือของใคร ซึ่งแพทย์ระบุว่าหากมีการร่วมเพศโดยไม่สวมถุงยางอนามัยครั้งหลังสุดจะพบน้ำอสุจิจะในช่องคลอดได้ 3-4 วัน แต่หากตรวจทางเคมีจะพบได้หลังการร่วมเพศถึง 14 วัน ขณะนี้ตำรวจได้นำเนื้อเยื้อของนายโอมา แฟนของ น.ส.บีบี้ไปตรวจดีเอ็นเอเพื่อเปรียบเทียบอสุจิว่าเป็นของนายโอมาหรือไม่ ส่วนเม็ดทรายที่พบในช่องคลอด น.ส.บีบี้นั้นน่าจะเกิดจากนายพงศ์พัฒน์ ใช้นิ้วแทนอวัยวะเพศ ทำให้เม็ดทรายเล็ก ๆ ที่ติดนิ้วนายพงศ์พัฒน์ เข้าไปในช่องคลอด น.ส.บีบี้ได้ดังกล่าว
ทั้งนี้บ่ายวันเดียวตำรวจจะนำ น.ส.บีบี้ ไปให้ศาลไต่สวนล่วงหน้าในฐานะผู้เสียหาย
ทั้งนี้เพราะ น.ส.บีบี้ยืนยันจะเดินทางกลับประเทศสก๊อตแลนด์ในช่วงค่ำวันเดียวกัน ตำรวจจึงประสานกับศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อให้ไต่สวนปากคำผู้เสียหายไว้ล่วงหน้า ส่วนการเดินทางกลับประเทศสก๊อตแลนด์ตนได้จัดซื้อตั๋วเครื่องบินให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนนายพงศ์พัฒน์ ได้แจ้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น ซึ่งไม่มีปัญหาในการดำเนินคดีแต่อย่างใด