ทุบหัวสังหาร โหดสาวใหญ่เจ้าของร้านอาหารไทยในสวิส หมกศพทิ้งอืดไว้คาบ้านพักเมืองพัทยา
พี่สาวผู้ตายเผยน้องแต่งงานกับสามีชาวปากีสถาน นานๆ ถึงจะกลับมาพักผ่อนเมืองไทย ใกล้จะเดินทางกลับ ให้สามีล่วงหน้าไปก่อน ก่อนขาดการติดต่อไป ส่วนคนร้ายสงสัยเป็นญาติสามีที่กำลังมีปัญหามรดก ตรงกับคำให้การของพยาน ที่เห็น 2 คนร้ายคล้ายชาวตะวันออกกลางมาหาที่บ้านก่อนกลายเป็นศพ ตร.เร่งตามล่าสั่งสกัดเส้นทางหลบหนีออกนอกประเทศแล้ว
เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 17 ก.พ. พ.ต.ท.วินัย โห้เหรียญ พนักงานสอบสวน สภ.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
รับแจ้งมีเหตุฆ่ากันตายภายในบ้านเลขที่ 80/112 หมู่บ้านอาริยะวิลล่า ซ.หนองไม้แก่น 15 หมู่ 7 ต.หนองปรือ หลังรับ แจ้งรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยพล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.สมนึก จันทร์เกตุ ผกก.สภ.หนองปรือ พ.ต.ท.คงศักดิ์ บุญสื่อสุวรรณ รอง ผกก.สส. พ.ต.ต.สิริบัญชา ขอบใจ สว.สส. ตำรวจศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 2 (ชลบุรี) แพทย์เวรร.พ.บางละมุง และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ธรรมสถานเมืองพัทยา
ฆ่าโหดสาว-เจ้าของร้านไทยในสวิส
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านพักชั้นเดียวเนื้อที่ 50 ตารางวา ในบ้านพบรถยนต์กระบะโตโยต้า รุ่นวีโก้แชมป์ สีดำ ทะเบียนป้ายแดง ก 9119 ชลบุรี จอดอยู่หน้าบ้าน
ที่ห้องน้ำภายในห้องนอนใหญ่พบศพนางนงลักษณ์ เฉลยจรรยา อ๊าชฟาก อายุ 46 ปี บ้านเดิมอยู่ จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าของบ้าน สวมเสื้อแขนยาวลายสกอต กางเกงยีนส์ขายาวสีดำ นอนหงายเสียชีวิตอยู่ในห้องน้ำ ขาข้างซ้ายโผล่ออกมาด้านนอก ศพขึ้นอืดส่งกลิ่นไปทั่ว บริเวณศีรษะมีร่องรอยถูกของแข็งทุบจนเป็นแผล และมีไม้ถูพื้นวางทับลำตัวอยู่ แพทย์ระบุน่าจะเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 วัน
ตรวจสอบภายในห้องนอนพบร่องรอยการต่อสู้จนข้าวของกระจัดกระจาย
มีกางเกงขาสามส่วนสีน้ำเงิน 1 ตัว รองเท้าสำหรับใส่ในบ้าน 1 คู่ วางอยู่ข้างเตียง ส่วนผ้าปูที่นอนสีขาวและรีโมตโทรทัศน์มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ เจ้าหน้าที่จึงเก็บหลักฐานทั้งหมดจากในที่เกิดเหตุ เพื่อนำไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
จากการสอบสวนนางมาลี เฉลยจรรยา อายุ 54 ปี พี่สาวผู้ตาย
ให้การว่า น้องสาวแต่งงานอยู่กินกับนายโมฮัมหมัด อ๊าชฟาก สามีชาวปากีสถาน มานานหลายปีมีลูกด้วยกัน 1 คน ทั้งสองทำธุรกิจเปิดร้านอาหารไทยอยู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นานๆ ถึงจะกลับมาเมืองไทย เมื่อ 3 เดือนที่แล้วน้องสาวกับสามีกลับมาพักผ่อนที่ประเทศไทย และมาพักอยู่บ้านหลังเกิดเหตุที่ซื้อไว้ จากนั้นนายโมฮัมหมัดเดินทางกลับไปสวิตเซอร์แลนด์ก่อน ส่วนน้องสาวมีกำหนดกลับวันที่ 19 ก.พ.นี้
นางมาลีให้การอีกว่า ปกติตนทำธุรกิจอยู่ จ.สมุทรปราการ เมื่อน้องสาวกลับมาก็ติดต่อกันทางโทรศัพท์โดยตลอด
น้องเคยเล่าให้ฟังว่ากำลังมีปัญหาเรื่องทรัพย์สินทั้งรถยนต์และบ้านกับญาติของสามีชาวปากีสถาน จนถึงขั้นมีปากเสียงกัน ตนก็ได้แต่ปลอบใจ กระทั่งน้องสาวขาดการติดต่อไปนานกว่า 1 สัปดาห์ จึงรีบเดินทางมาหาที่บ้านพักพบว่ามีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา แต่ประตูบ้านและประตูรั้วถูกล็อกจากด้านนอก สงสัยว่าจะเกิดเหตุร้าย จึงขอให้พลเมืองดีช่วยงัดประตูบ้านเข้าไป จนพบศพน้องสาวนอนตายอนาถอยู่ในบ้านดังกล่าว
ด้านนางอรนา จูงวงศ์สุข อายุ 53 ปี ผู้รับเหมาซึ่งมาทำงานต่อเติมบ้านเลขที่ 80/80 ฝั่งตรงข้ามบ้านหลังเกิดเหตุ
ให้การว่า เมื่อประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นชายชาวตะวันออกกลาง จำนวน 2 คน ทั้งคู่สวมชุด ดาวะห์ สีขาว ขับขี่รถจักรยานยนต์ 2 คันเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน และเห็นนางนงลักษณ์ออกมาทักทายพูดคุยก่อนพาเข้าไปในบ้าน คิดว่าคงเป็นคนรู้จักกันจึงไม่ได้สนใจอะไร กระทั่งทราบข่าวว่านางนงลักษณ์ถูกฆ่าตาย จึงรีบมาแจ้งเบาะแสและให้ข้อมูลกับตำรวจ
พล.ต.ต.คัชชาเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบสภาพศพและสอบปากคำพยานแวดล้อม สันนิษฐานได้ว่า
คนร้ายน่าจะเป็นคนใกล้ชิดกับนางนงลักษณ์ และโกรธแค้นผู้ตายเป็นอย่างมาก จึงลงมือทำร้ายร่างกายจับศีรษะฟาดพื้น หรือไม่ก็ใช้ของแข็งตีจนเสียชีวิตคาที่ จากนั้นกลัวความผิด จึงรีบทำลายหลักฐานด้วยการใช้ไม้ถูพื้นและผ้าเช็ดคราบเลือด อย่างไรก็ตามขณะนี้พุ่งเป้าไปที่ญาติคนหนึ่งของสามีผู้ตาย เป็นบุคคลต้องสงสัยว่าจะเป็นฆาตกรรายนี้ ขณะนี้ประสานไปยังตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อให้สกัดเส้นทางออกนอกประเทศ และส่งชุดสืบสวนลงพื้นที่ติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไปแล้ว