สมจิตต์ แจงภาพนั่งในม็อบ ชี้คนถ่ายเจตนาไม่ดี ยันไปทำข่าวจริง
สมจิตต์ แจงภาพนั่งในม็อบ เสธ.อ้าย ยันไปทำข่าวจริง ชี้คนถ่ายเจตนาไม่ดี ไม่ยอมถ่ายภาพในมุมกว้างซึ่งเป็นที่รวมตัวกันของนักข่าว บอกใช้ป้ายแขวนคอแทนปลอกแขน เนื่องจากปลอกแขนมีลักษณะคล้ายของการ์ดม็อบ เสธ.อ้าย
กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ทั่วโลกอินเทอร์เน็ตเลยทีเดียว เมื่อมีคนบันทึกภาพของ นางสาวสมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 สวมเสื้อยืดสีเทา ใส่แว่นดำ และสวมหมวกแก๊ป ทับด้วยหมวกกันน็อคอีกชั้น นั่งอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมองค์การพิทักษ์สยาม หรือ ม็อบ เสธ.อ้าย โดยระบุในภาพว่าคือ "ดูออกกันไหมว่าเธอคือใคร? จะบอกว่ามาทำข่าวก็คงไม่ใช่เพราะไม่ได้ใส่ปลอกแขนนักข่าว" และใต้ภาพยังระบุว่า "หนูเป็นกลาง กลางจริง กลางหว่างขา" อีกด้วย
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (25 พฤศจิกายน) นางสาวสมจิตต์ ก็ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว "สมจิตต์ นวเครือสุนทร" เพื่อชี้แจงถึงรูปดังกล่าว โดยมีข้อความดังนี้
"ไม่คิดว่าจะเป็นที่สนใจขนาดนี้ ดิฉันเดินทางไปที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ซึ่งเป็นจุดที่ตึงเครียดที่สุด และได้ลงทะเบียนสื่อมวลชนเรียบร้อยแล้ว แต่ที่ไม่ติดปลอกแขนสื่อเป็นเพราะเพื่อนสื่อมวลชนคนอื่นเตือนให้ปลดออก เนื่องจากปลอกแขนดังกล่าวคล้ายกับของการ์ดองค์การพิทักษ์สยาม จะทำให้ตำรวจเข้าใจผิดและเกิดอันตรายได้ จึงแนะนำให้แขวนบัตรนักข่าวแทน จะเห็นได้จากสายที่ห้อยคอ แต่บังเอิญว่าป้ายนักข่าวถูกแขนทับอยู่ และถ้าผู้นำภาพนี้มาโพสต์มีจิตใจที่บริสุทธิ์ควรถ่ายภาพมุมกว้าง ซึ่งจะเห็นชัดเจนว่าเป็นบริเวณที่สื่อมวลชนเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ ไมใช่บริเวณที่ผู้ชุมนุมรวมตัวกัน
ทั้งนี้ผู้ที่ถ่ายภาพย่อมอยู่ในบริเวณดังกล่าว ซึ่งจะเห็นอิริยาบถของดิฉันได้อย่างละเอียด และแน่นอนว่าย่อมเห็นป้ายนักข่าวที่ห้อยคออยู่ แต่ผู้ถ่ายมีเจตนาที่จะเลือกภาพที่มองไม่เห็นป้ายมาโพสต์เพื่อให้คนเกิดความเข้าใจผิด
ความจริงมีหนึ่งเดียวและทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นคือความจริง ทั้งนี้หากดิฉันจะไปชุมนุมจริงก็มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ถ้าคุณห้ามสื่อมวลชนไม่ให้เขาได้แสดงออกซึ่งสิทธิเสรีภาพทางความเห็นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม โดยอ้างคำว่าเป็นกลาง เท่ากับว่า สถานะความเป็นสื่อมวลชนยังมีเสรีภาพน้อยกว่าคนไทยธรรมดาด้วยซ้ำ เพราะเขาจะไม่มีสิทธิแสดงความเห็นอะไรเลย และดิฉันยืนยันมาตลอดว่า ไม่เคยเชื่อความเป็นกลาง แต่ต้องมีความเป็นธรรมและนำเสนอแต่ความจริงเท่านั้น"
อย่างไรก็ตาม เมื่อนักข่าวสาวได้โพสต์ข้อความดังกล่าวลงในเฟซบุ๊ก ก็มีผู้แสดงคิดเห็น พร้อมให้กำลังใจอย่างมากมาย