“ยุทธศักดิ์ ” ชี้ ช่วงปลายก.ย. สถิติเกิดบึ้มใต้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะพื้นที่ “นราธิวาส-ะลา” คาดเป็นช่วงแต่งตั้งโยกย้าย – ปรับเปลี่ยนงบใหม่ สั่งจนท.ตรวจเข้ม ห้ามละเลย
วันนี้ ( 25 ก.ย. )พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม. )
ถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังเกิดเหตุคาร์บอมที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี และล่าสุดเกิดเหตุระเบิดภายในโรงเรียนบ้านบาตู อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ว่า ถ้าดูจากสถิติทางการข่าวตั้งแต่ปี 2550-2555 พบว่าเกิดเหตุในพื้นที่ จ.ยะลาและ จ.นราธิวาสเกือบทุกครั้งในช่วงวันที่ 26-29 ก.ย.โดยเฉพาะวันที่ 28 ก.ย. ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการปรับเปลี่ยนกำลังหรือมีการแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด หรือการใช้งบประมาณใหม่ ตนจึงได้กำชับเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่าช่วงก่อนถึงสิ้นเดือนก.ย.ให้เฝ้าระวังและเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบด่านตรวจต่าง ๆ เนื่องจากที่ผ่านมามีการปล่อยให้รถยนต์ผ่านด่านต่างๆเข้ามาโดยง่าย
เมื่อถามว่าหากเจ้าหน้าที่ปล่อยให้รถมีการผ่านเข้าออกได้ง่าย และเกิดเหตุขึ้นจะถือว่าละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า การทำงานยังอ่อน ไม่เข้มงวดยังละเลยสิ่งที่ตรวจตรา จากนี้จะต้องตรวจเข้ม เช่น ป้ายทะเบียนรถยนต์ต้องดูป้ายด้านหน้าและด้านหลังว่าตรงกันหรือไม่ด้วย เพราะทุกครั้งที่เหตุคาร์บอมป้ายทะเบียนด้านหน้าและหลังไม่ตรงกัน และกรณีเหตุคาร์บอมที่ อ.สายบุรี ก็เกิดห่างจากสถานีตำรวจเพียง 100 เมตรเท่านั้น เวลานี้เกิดปัญหาว่ารถต้องสงสัยที่เราตามหากลับผ่านด่านตรวจได้ง่าย ซึ่งในการลงพื้นที่ไปประชุมติดตามการทำงานในครั้งต่อไปจะต้องพูดคุยกันเรื่องนี้ ส่วนรถที่สูญหายหรือถูกขโมยจากพื้นที่ที่ยังตามจับกุมไม่ได้นั้น เบื้องต้นมีประมาณ 10 คัน ซึ่งเราก็ติดตามตลอดเวลา แต่ทำได้ยาก เพราะเขาซ่อนได้อย่างมิดชิด
พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนเหตุระเบิดที่อ.บาเจาะ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เราจะเพิ่มการตรวจ
เพราะไม่คิดว่าจะทำกับครูและเข้าไปก่อเหตุถึงในโรงเรียน ซึ่งไม่เคยเกิดลักษณะนี้มานานแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนและเจ้าหน้าที่รับไม่ได้ และได้รวมตัวออกแถลงการณ์ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่รุนแรง เพราะเป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ที่นับถือศาสนาพุทธและอิสลาม ที่คิดแต่จะสร้างปัญหา อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการส่งกำลังตชด.ไปช่วยเสริมการทำงานของทหาร หากได้ครบตามอัตราที่ขอ 5 พันอัตรา สถานการณ์น่าจะดีขึ้นกว่าเดิม