รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ยัน นศ.พยาบาล ที่ถูกให้ออกจากภาควิชาที่เรียนอยู่ เนื่องจากผลตรวจเลือด พบ "เชื้อเอชไอวี" นั้น มีสิทธิเลือกที่จะศึกษาต่อได้ ชี้โรคเอดส์ ไม่ใช่โรคติดต่อร้ายแรง และไม่ได้ติดต่อกันโดยง่าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 55
จากกรณีนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง 3 ราย เข้ายื่นข้อเรียกร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ระบุว่า ถูกให้ออกจากภาควิชาที่เรียนอยู่โดยไม่เป็นธรรม ภายหลังจากที่ผลตรวจเลือดปรากฏว่ามี "เชื้อเอชไอวี" นั้น
ล่าสุด รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า
โดยทั่วไปแล้วถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลของนักศึกษาหรือของผู้รับการตรวจเลือด ว่าจะยินยอมรับการตรวจเลือดหรือไม่ รวมถึงผลของการตรวจเลือดนั้นๆ จะต้องเป็นเรื่องระหว่างแพทย์และผู้รับการตรวจเลือดเท่านั้น บุคคลที่สามไม่มีสิทธิได้รับทราบหรือเปิดเผยข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามในการตรวจเลือดนักศึกษาที่เรียนในสาขาวิชาด้านสาธารณสุข หรือตามโรงเรียนแพทย์ต่างๆ ปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ว่ามีความจำเป็นหรือไม่
เนื่องจากผู้รับการตรวจเลือด อาจมีเชื้อก่อนหรือหลังรับการตรวจเลือดก็ได้ ดังนั้นแนวทางที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน คือ การทำข้อตกลงร่วมกัน โดยนักศึกษาจะต้องมีสิทธิในการรับรู้ และยินยอมที่จะเข้ารับการตรวจเลือดหรือไม่ก็ได้ ซึ่งผลการตรวจเลือดจะมีเพียงนักศึกษาและผู้ตรวจ ซึ่งอาจเป็นอาจารย์แพทย์ที่ทำหน้าที่แพทย์เจ้าของคนไข้รับทราบเท่านั้น แต่ในกรณีที่นักศึกษาปฏิเสธที่จะเข้ารับการตรวจเลือด ก็จะต้องทำการแจ้งคนไข้ที่นักศึกษาคนดังกล่าวดูแลอยู่ตามความเป็นจริงด้วย
"ผลการตรวจเลือดไม่สามารถให้บุคคลที่สามรับรู้ได้ รวมถึงฝ่ายบริหารเองก็ไม่มีสิทธิ์รับรู้เช่นกัน ดังนั้นแนวทางที่ปฏิบัติกันมาในกลุ่มนักศึกษาที่เรียนด้านสาธารณสุข คือ การจัดทำข้อตกลงร่วมกันว่านักศึกษาจะต้องสมัครใจที่จะเข้ารับการตรวจเลือด ซึ่งหากนักศึกษาไม่สมัครใจสามารถแจ้งรายละเอียดดังกล่าวแก่คนไข้ที่นักศึกษาดูแลได้ ว่านักศึกษาคนนี้ไม่ยินยอมรับการตรวจเลือด อย่างไรก็ตามในส่วนนักศึกษาที่พบว่าป่วยเป็นโรคเอดส์นั้น ยังสามารถรักษาคนไข้ได้ และสามารถศึกษาในสาขาวิชาต่างๆ ได้ เพราะบางสาขาก็ไม่จำเป็นต้องสัมผัสคนไข้ และไม่ได้มีข้อห้ามใดๆ กำหนดไว้ ขณะที่โรคเอดส์ก็ไม่ใช่โรคติดต่อร้ายแรง และไม่ได้ติดต่อกันโดยง่าย เพราะไม่ใช่วัณโรค ดังนั้นกรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้ควรให้สิทธิแก่นักศึกษาเป็นผู้ตัดสินใจ ว่าจะเลือกกลับเข้าไปศึกษาต่อหรือจะดำเนินการอย่างไร"