วันที่ 4 ก.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้เชี่ยวชาญด้านคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน คดีแชร์ลอตเตอรี่ของสหกรณ์ออมทรัพย์ครู เปิดเผยว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวเสนอต่ออธิบดีดีเอสไอแล้ว โดยมีผู้ต้องหาทั้งสิ้นจำนวน 87 คน ประกอบด้วยบริษัทเอกชนที่เป็นคู่สัญญาในการจัดหาสลากกินแบ่งรัฐบาล 3 บริษัท คือ บริษัท ศรีโสภา มาร์เก็ตติ้ง จำกัด , บริษัท เทวาสิทธิ์ พิฆเนศ จำกัด , บริษัท จัมโบ้ซัพพลาย แอนด์เซอร์วิส จำกัด และคณะกรรมการบริหารสหกรณ์อีก 13 สหกรณ์ ใน 10 จังหวัด คือ เลย , ชัยภูมิ, ร้อยเอ็ด, สกลนคร, กาฬสินธุ์, ยโสธร, ปทุมธานี, ราชบุรี, นนทบุรี, สงขลา และเชียงราย
โดยทั้งหมดจะถูกสั่งฟ้องในข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 5, 10, 12 และ 15 ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 343, 352 ความผิดฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฐานจำหน่ายเกินราคา ทั้งนี้สำนวนคดีมีความหนาเกือบ 400 หน้า โดยการสอบสวนที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนพิจารณาจากเจตนาเป็นหลัก
พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าวต่อว่า คดีดังกล่าวถือเป็นคดีฉ้อโกงที่มีผู้เสียหายและมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก โดยผู้เสียหายมีจำนวนกว่า 1,000 คน ส่วนมูลค่าความเสียหายเฉพาะในส่วนของสหกรณ์รวมกว่า 7,000 ล้านบาท ส่วนสมาชิกและประชาชนทั่วไปมีมูลค่าความเสียหายกว่า 1,500 ล้านบาท สำหรับการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งขณะนี้คณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้รับเรื่องเรียนจากสหกรณ์ต่าง ๆพร้อมเรียกประชุมสอบถามความคืบหน้าซึ่งปรากฎว่าตามกฎหมายสหกรณ์คณะกรรมการบริหารสหกรณ์ชุดใหม่สามารถฟ้องร้องให้คณะกรรมการบริหารสหกรณ์ชุดเดิมรับผิดชอบทางแพ่งในการชดเชยค่าเสียหายได้
ด้าน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวได้เสนอสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหามาให้ตนแล้ว แต่เนื่องจากมีรายชื่อผู้ต้องหาจำนวนมากถึง 87 คน จึงได้มอบให้พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดีดีเอสไอ ดำเนินการตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบอีกครั้งว่าจะสามารถกันผู้ต้องหาที่กระทำผิดเล็กน้อยไว้เป็นพยาน เพื่อให้มีหลักฐานมัดตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเบื้องต้นมองว่าการสั่งฟ้องผู้ต้องหาจำนวนมากอาจเป็นการดำเนินคดีกับพยานในคดีเสียเอง.