'จรัมพร' ยันให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย พร้อมเร่งสางคดีจับแฝดผิดตัว ฝาแฝดร้องกรมคุ้มครองสิทธิโอดไม่มีทนายไม่รู้กฎหมาย ด้านอธิบดีเผยเคยช่วยเหลือให้ได้ประกันตัว พร้อมเร่งตรวจสอบหลักฐานเพื่อรื้อคดี
11 พ.ค.55 จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ จ.ปทุมธานี ได้ทำการจับกุมตัว นายอานนท์ อุ่นวงษ์ (แฝดน้อง) ในคดีทำร้ายร่างกาย และถูกคุมขังมานานกว่า 1 ปี ซึ่งต่อมาได้มี นายอเนก อุ่นวงษ์ (แฝดพี่) ได้ออกมาแสดงตัวว่า เป็นคนก่อเหตุดังกล่าว และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหาผิดตัวนั้น
พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผช.ผบ.ตร. กล่าวว่า คดีนี้ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ให้ตรวจสอบกรณีตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ จ.ปทุมธานี จับกุมผู้ต้องหาผิดตัวนั้น ตนในฐานะที่ดูแลพื้นที่ บช.ภ.1 ก็จะรีบเข้าไปสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้น เริ่มจากขั้นตอนการสืบสวนและจับกุมว่า ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องหรือไม่ หากพบว่าตำรวจมีความบกพร่อง หรือผิดพลาดจริง ก็ต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน และขอยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินคดีกับนายอานนท์ ในโทษฐานให้การเท็จ กรณีที่ยอมรับสารภาพว่า เป็นนายอเนก แต่อย่างใด
ฝาแฝดร้องกรมคุ้มครองสิทธิโอดไม่มีทนายไม่รู้กฎหมาย
นางบุญเกิด อุ่นวงษ์ และนายอเนก อุ่นวงษ์ มารดา และพี่ชายนายอานนท์ อุ่นวงษ์ ผู้ต้องขังแฝดน้องนายเอนก ที่ถูกดำเนินคดีทำร้ายร่างกายแทนนายอเนกอยู่ในเรือนจำ เดินทางเข้าพบนายพิทยา จินาวัฒน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อขอให้ช่วยเหลือ โดยนางบุญเกิด กล่าวว่า เพราะตนไม่รู้หนังสือทำให้ไม่รู้จะต่อสู้คดีอย่างไร จึงเข้าขอรับความช่วยเหลือจากกรมคุ้มครองสิทธิ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยได้รับการช่วยเหลือเรื่องเงินประกันตัวและการตั้งทนายสู้คดีในชั้นอุทธรณ์แล้ว แต่หลังศาลตัดสินให้จำคุก 4 ปี ตนไม่รู้จะทำอย่างไร แค่ต้องการช่วยลูกคนที่ไม่ได้ทำผิดออกมา และให้เอาลูกคนที่ทำผิดไปคุมขังแทนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจตนไม่มีทนายแนะนำทำให้ไม่รู้ว่าจะต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ว่าจับผิดคน และไม่รู้ว่าสามารถนำลายนิ้วมือมาเป็นหลักฐานพิสูจน์ในชั้นศาลได้ ซึ่งขณะนี้ตนเองเป็นห่วงความปลอดภัย
นางบุญเกิด กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจจะแจ้งความดำเนินคดีกับครอบครัวโดยยอมรับว่ารู้สึกตกใจแต่ที่ผ่านมาพูดความจริงทุกอย่างหากจะถูกฟ้องก็พร้อมสู้จะไม่หยุดเดินหน้าเพื่อขอความเป็นธรรม เพราะเชื่อว่ากำลังต่อสู้เพื่อความถูกต้อง
ด้านนายพิทยา กล่าวว่า กรมคุ้มครองสิทธิฯเคยให้ความช่วยเหลือในชั้นอุทธรณ์จนได้รับการประกันตัว แต่สุดท้ายศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก ดังนั้นขณะนี้ต้องกลับไปตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งในส่วนของครอบครัว และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค1 เนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่ขณะนี้เป็นคำโต้แย้งของทั้ง 2 ฝ่ายทำให้ข้อมูลแตกต่างกัน ดังนั้นการให้ความช่วยเหลือจะต้องดูข้อเท็จจริงเป็นหลัก ส่วนการยื่นฎีกาหรือไม่นั้น ต้องพิจาณาว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอหรือไม่ ซึ่งหากศาลยกฟ้องกรมคุ้มครองสิทธ์ก็มีมาตรการเยียวยาตาม พรบ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้และค่าใช้จ่ายแก่ผู้เสียหายในคดีอาญา กับผู้เสียหายในคดีอาญา ส่วนการจะรื้อฟื้นคดียังต้องดูว่าบุคคลใดบ้างจะเป็นผู้ยื่นคำร้องขอ นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรกับผู้ที่กระทำความผิดจริง โดยในวันนี้ได้นัดหารือกับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อร่วมกันพิจารณาการให้ช่วยเหลือให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
สำหรับการคุ้มครองพยานขณะนี้ตนเห็นว่ายังไม่จำเป็นเนื่องจากกรณีดังกล่าวอยู่ในความสนใจของทั้งประชาชน และหน่วยงานภาครัฐจึงเชื่อว่าหน่วยงานรัฐจะให้การดูแลและช่วยเหลือเป็นอย่างดีแต่หากญาติต้องการขอความคุ้มครองก็เป็นเหตุให้สามารถพิจารณาให้ความคุ้มครองได้ตามสิทธิ์