วันนี้ ( 24 เม.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 708 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 24 เม.ย. ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.2930/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง นายเอนก สิงขุนทด จำเลยที่ 1 ซึ่งตาบอดเนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ระเบิดหน้าพรรคภูมิใจไทย นายเดชพล พุทธจง จำเลยที่ 2 นายกำพล คำคง จำเลยที่ 3 นายกอบชัย หรืออ้าย บุญปลอด จำเลยที่ 4 นางวริศรียา หรืออ้อ บุญสม จำเลยที่ 5 และนายสุริยาหรืออ้วน ภูมิวงษ์ จำเลยที่ 6 ฐานร่วมกันทำวัตถุระเบิด มีวัตถุระเบิดที่ออกใบอนุญาตไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธ(วัตถุระเบิด)ไปในเมืองฯ โดยไม่มีเหตุสมควร และกระทำให้เกิดระเบิดฯ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 38, 74,ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221, 222, 218, 371
โจทก์ฟ้องว่าระหว่างต้นเดือน มิ.ย.53 ถึง 22 มิ.ย. 53 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งหกกับพวกร่วมกันผลิตหรือทำวัตถุระเบิด และร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่ทำขึ้นโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และจำเลยทั้งหกกับพวกร่วมกันทำให้เกิดการระเบิดขึ้น โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้เข็นรถเข็นผลไม้ ที่ซุกซ่อนระเบิดไว้ เข็นผ่านไปทางด้านหลังของอาคารที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ตั้งอยู่ใกล้ซอยพหลโยธิน 43 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ก่อนเกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้ผนังด้านหลังอาคารพรรคภูมิใจไทย แตกเสียหาย ขณะเดียวกันแรงระเบิดยังทำให้จำเลยที่ 1 ตาบอดทั้งสองข้าง นอกจากนี้ เพิงโรงเรือนร้านค้าขายอาหารตามสั่งของนายแถม ตรุพิมาย ถูกแรงระเบิดเสียหายพังทั้งหลัง ค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000 บาท รถยนต์เก๋ง ทะเบียน ธต 7963 กทม. ของ ว่าที่ ร.ต.ภูมิรัตน์ นาคอุดม ได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 40,000 บาท
ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยอื่นให้การปฏิเสธ จึงได้แยกสำนวนพิจารณา โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้อัยการโจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.บางเขน 2 นาย เบิกความว่า หลังเหตุการณ์ระเบิดได้เข้าตรวจสอบสถานที่พบจำเลยที่ 1 นอนได้รับบาดเจ็บอยู่ โดยมีเศษเงาะและถังแก๊สสีส้มตกกระจายอยู่ เมื่อตรวจสอบภาพวงจรปิดจากพรรคภูมิใจไทย และอาคารสยามนิสสัน ธนาคารออมสินที่อยู่บริเวณใกล้เคียงปรากฏภาพชายสวมเสื้อยืด กางเกงสีเข้ม สวมหมวกแก๊ป ซึ่งจำเลยที่ 1 รับสารภาพในชั้นพิจารณาและชั้นสอบสวนว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับที่ปรากฏภาพในกล้องวงจรปิด ซึ่งเป็นหลักฐานของพยานโจทก์ โดยรับจ้างจากจำเลย 2-3 ให้นำรถเข็นผลไม้ ซึ่งมีถังแก๊สสีส้มที่ทำเป็นระเบิดแสวงเครื่องมาจอดที่พรรคภูมิใจไทย
โดยก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1-3 ได้เดินทางมาจากบ้านของจำเลยที่ 3 จ.ชลบุรี โดยก่อนที่จำเลยที่ 1 จะเข็นรถผลไม้มาหน้าพรรคภูมิใจไทย มีจำเลยที่ 2-3 คอยสังเกตการณ์และคอยบอกทางให้ และเมื่อนำรถเข็นผลไม้ไปจอดที่หน้าพรรคภูมิใจไทยแล้วไม่เกิดระเบิด จำเลยที่ 3 จึงแจ้งให้จำเลยที่ 1 กลับไปตรวจสอบระเบิดในรถเข็น ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้เข็นรถเข็นมาไว้ที่ด้านหลังพรรคภูมิใจไทยและใช้มือล้วงเข้าไปเพื่อตรวจสอบวงจรระเบิด แต่เกิดระเบิดขึ้นก่อน
ขณะที่พยานโจทก์ทั้งสองไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความตามจริงตามหน้าที่ อีกทั้งจำเลยที่ 1-3 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนถึงพฤติการณ์และเหตุจูงใจในการกระทำดังกล่าว ซึ่งจำเลยที่ 1-3 ย่อมทราบดีกว่าการกระทำของตนมีโทษตามกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการแจ้งสิทธิ์และอัตราโทษให้จำเลยรับทราบแล้ว ขณะเดียวกันก็ยังมีทนายความร่วมอยู่ด้วย จึงไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 1-3 จะให้การปรับปรำตัวเองให้ได้รับโทษทางอาญา
คำให้การของจำเลยจึงไม่ใช่ลักษณะของการซัดทอด โดยยังสอดคล้องกับหลักฐาน จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันทำระเบิดเพื่อให้เกิดระเบิดเป็นอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สินและสถานที่ประชุม ซึ่งมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ ที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221 222 ประกอบมาตรา 218 311 และ 83 พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ ให้ลงโทษทุกกระทง จำคุก 2 กระทงๆ ละ 10 ปี ฐานมีระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และปรับ 100 บาท ฐานพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ และให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานทำระเบิดให้เกิดระเบิดเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินฯ และสถานที่ประชุม ซึ่งเป็นโทษหนักสุดตามมาตรา 222 และ 218 จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เห็นควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ให้จำคุกรวมทั้งสิ้น 35 ปี และปรับ 50 บาท