คืบหน้าคดียักยอกซูโดอีเฟรดีน

            ความคืบหน้าคดีสารซูโดอีเฟดรีน โรงพยาบาลกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ หายกว่า 3 แสน 5 หมื่นเม็ด โดยนางสุภคนิจ  ศรีพนา อดีตเจ้าหน้าที่รพ.ร้อยเอ็ด ผู้ต้องสงสัยซึ่งถูกนางสดชื่น วิโทจิตร เภสัชกรรพ.กมลาไสย ผู้ต้องหาซัดทอดว่าเป็นผู้รับซื้อยาที่หายไปแต่แนวทางการสืบสวนสอบสวนระบุว่าผู้ต้องหาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็ง ตามที่เสนอข่าวไปนั้น คืบหน้าล่าสุดเมื่อวันนี้ ( 24 มี.ค.) พ.ต.อ.วันชัย รณชาติชัย ผกก.สภ. กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ พร้อมพนักงานสอบสวนเตรียมเรียกนางสดชื่น วิโทจิตร เภสัชกรรมโรงพยาบาลกมลาไสยเข้าสอบปากคำใหม่อีกครั้ง เพื่อหาแหล่งที่ไปของยาดังกล่าว พร้อมทั้งเตรียมเรียกผอ.รพ.กมลาไสยเข้าให้ข้อมูลใหม่อีกครั้งเช่นกัน พ.ต.อ.วันชัย กล่าวว่า เมื่อผู้ต้องสงสัยซึ่งถูกซัดทอดว่าเป็นผู้รับซื้อยาเข้ามาให้การด้วยความบริสุทธิ์ใจก็พบว่า อดีตเจ้าหน้าที่พยาบาลรพ.ร้อยเอ็ด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และแนวทางการสืบสวนสอบสวนก็ไม่พบหลักฐานใดๆที่เชื่อว่า ผู้ต้องสงสัยเป็นผู้รับซื้อ จึงต้องยุติการสืบสวน แต่ทางตำรวจจะต้องทำการสอบสวนผู้ต้องหาซึ่งเป็นเภสัชกรใหม่อีกครั้ง เพื่อสืบหาแหล่งที่นำยาไปปล่อยขาย พร้อมทั้งเชิญผอ.รพ.มาให้ปากคำอีกครั้งเพื่อเป็นข้อมูลว่าสิ่งที่ผู้ต้องหาให้การเป็นความจริงหรือไม่  แต่คงต้องรอให้ผู้อำนวยการกลับมาจากต่างประเทศเสียก่อน ส่วนเครือข่ายที่เหลือจำนวน 10 คน ก็ยังคงต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยซึ่งจะเชิญตัวมาสอบปากคำใหม่ทั้งหมด อย่างไรก็ตามทราบว่าภายในสัปดาห์หน้า ดีเอสไอ จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณารับเป็นคดีพิเศษ
                พ.ต.อ.วันชัย กล่าวต่อไปว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องสงสัย ให้การว่าอดีตตนเป็นเจ้าหน้าที่พยาบาลโรงพยาบาลร้อยเอ็ด แต่ระยะหลังมีปัญหาด้านสุขภาพจึงต้องออกจากงาน ส่วนสามีนั้นมีอาชีพเก็บของเก่าขาย ฐานะความเป็นอยู่ทางบ้านไม่ได้ร้ำรวยอะไร ทั้งนี้เคยรู้จักกับเภสัชกรรมรพ.กมลาไสยจริง เนื่องจากเช่าบ้านอยู่ในละแวกใใกล้เคียงกัน แต่ไม่ได้สนิทสนมกัน ไม่ค่อยได้พูดจากัน ส่วนกรณีที่พบเบอร์โทรศัพท์ของตนอยู่ในโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหารายนี้ เป็นเพียงการโทรมาสอบถามอาการป่วย เพราะตนป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย  ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทั้งในกรุงเทพฯและจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นประจำ และไม่ได้ติดต่อกับเภสัชกรคนดังกล่าวมานานแล้ว ส่วนสาเหตุที่เจ้าหน้าที่เภสัชซักทอดว่าตนเป็นผู้รับซื้อยานั้นไม่เป็นความจริง ไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่เภสัชฯต้องการอะไรจึงนำตนและครอบครัวเข้าไปเกี่ยวข้อง.