ค้นฟ้าแลบ18จุด แก๊งระเบิด

จากเหตุลอบวางระเบิดป่วนกรุง 9 จุด เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา


ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดีสนธิกำลังทหารกองทัพภาคที่ 1 ลุยค้นแหล่งต้องสงสัยพัวพันเหตุบึมสะท้านเมืองหลวงแล้ว

ปูพรมค้น 18 จุดต้องสงสัย

เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 20 ม.ค. ที่กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองปราบปราม (กก.ปพ.บก.ป.) หรือหน่วยคอมมานโด ซอยโชคชัย 4 ลาดพร้าว ชุดสืบสวนคลี่คลายคดีระเบิด 9 จุดในพื้นที่กรุงเทพฯ และ จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.

นำโดย

พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผช.ผบ.ตร.
พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร ผบก.ป.
พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย
พ.ต.อ.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง
พ.ต.อ.อนุชัย เล็กบำรุง
และ พ.ต.อ.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ รอง ผบก.ป.
พร้อม ผกก.1-6 ป.
และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯจำนวนหนึ่ง
ตำรวจจาก บช.น. ทั้งฝ่ายสืบสวน กองวิทยาการ
หน่วยเก็บกู้ระเบิด และกำลังทหารของกองทัพภาคที่ 1

เข้าประชุมร่วมกันเพื่อซักซ้อมความเข้าใจ ก่อนการตรวจค้นที่พักของผู้ต้องสงสัย รวมทั้งจุดต้องสงสัยที่เชื่อว่ามีพยานหลักฐานเชื่อมโยงกับคดี ทั้งหมด 18 จุด ในพื้นที่ภาคกลาง เช่น จ.นนทบุรี ลพบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี

เมื่อถึงเวลาปฏิบัติงานกำลังร่วมของตำรวจ-ทหาร รวม 18 ชุด แยก


ย้ายกันออกเดินทางไปยังเป้าหมายที่รับผิดชอบ โดยมีสื่อมวลชนติดตามความเคลื่อนไหวของชุดทำงานบางชุดไปอย่างใกล้ชิด สำหรับการตรวจค้นในครั้งนี้ทีมสืบสวนคลี่คลายคดีนัดหมายประชุมวางแผนกำหนดจุดตั้งแต่ค่ำวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล

และเพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด ในแต่ละจุดจึงได้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดชัดเจนแล้วว่าผู้ต้องสงสัยยังพักอาศัยอยู่ในจุดนั้นๆ

และการเข้าตรวจ ค้นยังได้ประสานเจ้าหน้าที่กองวิทยาการ หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด และสุนัขตำรวจ เข้าร่วมด้วย ในจุดที่คาดว่าเป็นที่ประกอบและเก็บซุกซ่อนระเบิด

เนื่องจากการข่าวของตำรวจและทหารได้ข้อมูลว่ามีนายทหารระดับสูงร่วมกับพลเรือนมีส่วนพัวพันเชื่อมโยง จึงไม่อยากให้เกิดความผิดพลาด

ผช.ผบ.ตร.ค้นบ้าน เสธ.คัต


ต่อมาเวลา 09.40 น.

พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผช.ผบ.ตร.
พร้อมด้วย พ.ต.อ.ประยนต์ ลาเสือ รอง ผบก.รฟ.
พ.ต.อ.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง รอง ผบก.ป.
พ.ต.อ.สุเมธ ธชเสนีย์ ผกก.สภ.อ.บางซ้าย จ.พระนครศรีอยุธยา

ทำหน้าที่หน่วยปราบปรามมือปืนรับจ้างและกลุ่มผู้มีอิทธิพล พ.ต.อ.ปรีดี พงศ์เศรษฐสันต์ ผกก.สำนัก งานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ พร้อมกำลังทหารกองพลทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน และกำลังเจ้าหน้าที่กลุ่มงานเก็บกู้ระเบิด บก.ตปพ.บช.น กว่า 30 นาย

พร้อมเครื่องสแกนหาวัตถุระเบิดและสุนัขตำรวจ 2 ตัว เข้าตรวจค้นบ้านพัก พ.ท.สุชาติ คัตสูงเนิน หรือ เสธ.คัต นายทหารสังกัด สรก.ทบ.ช่วยราชการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ภายในกองพลรบพิเศษที่ 1 ค่ายเอราวัณ ต.เขาสามยอด อ.เมืองลพบุรี

การตรวจค้นบ้านพัก พ.ท.สุชาติ หรือ เสธ.คัต ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้อ้างกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 มาตรา 8 เกี่ยวกับอำนาจการตรวจค้น

มาตรา 12 การยึด และมาตรา 15 ทวิ ให้อำนาจกักตัวได้ 7 วัน และประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ฉบับที่ 1

ซึ่งสามารถเชิญตัวผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดไปสอบปากคำได้ โดยประสานงานกับผู้บังคับบัญชากองพลรบพิเศษที่ 1

ขณะที่ พ.ท.สุชาติแสดงความบริสุทธิ์ใจพาเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้น

โดยเริ่มจากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจงานเก็บกู้ระเบิด บก.ตปพ.บช.น. ใช้เครื่องสแกนตรวจหาวัตถุระเบิดรอบบ้าน จากนั้น เข้าตรวจค้นภายในบ้านพักอย่างละเอียด พร้อมตรวจค้นรถเก๋งส่วนตัว

โดยใช้เวลาเกือบ 2 ชม.

แต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเก็บเศษฝุ่นจากหน้าโต๊ะเครื่องแป้งภายในบ้าน ผงฝุ่นในรถเก๋งและเศษฝุ่นจากโต๊ะในบ้านทุกตัวไปตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์

พร้อมเชิญตัว เสธ.คัต ไปให้ปากคำที่ กทม. และนำโทรศัพท์มือถือไปตรวจสอบ

พวกอีก 7 คนติดร่างแห


นอกจากเข้าตรวจค้นบ้านพัก เสธ.คัตแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจยังกระจายกำลังเข้าตรวจค้นตามแหล่งต้องสงสัยต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ พ.ท.สุชาติอีก 7 จุด ประกอบด้วยบ้านพักของจ่าสิบตรีเกษมสานต์ งานโคกสูง

ภายในกองพลรบพิเศษที่ 1 ค่ายเอราวัณ เลขที่ 255/5 หมู่ 1 ต.เขาสามยอด อ.เมืองลพบุรี ครูฝึกด้านยุทโธปกรณ์ทางทหาร

พร้อมเก็บหลักฐานเอกสารต่างๆไปตรวจสอบ 17 รายการ

ตรวจค้นบ้าน ร.ท.อุบล ศรีสุระ นายทหารนอกราชการ อดีตเทศมนตรีเมืองลพบุรี ใน ต.เขาพระงาม อ.เมืองลพบุรี คนสนิทของ พ.ท.สุชาติยึดเอกสารจำนวนหนึ่งไปตรวจสอบ และเข้าตรวจค้นสถานีวิทยุชุมชนตำบลท่าศาลา หมู่ 3 ต.ท่าศาลา อ.เมืองลพบุรี

ยึดตะปูกับสายไฟฟ้าไปตรวจสอบ พร้อมเชิญผู้ดูแลสถานีมีนายสมาน นายสวาท นายสุภาพ และนายตุ๋ย ไม่ทราบนามสกุลไปสอบปากคำ

นอกจากนี้ ยังได้เชิญตัวคนสนิทของ พ.ท.สุชาติ ซึ่งเป็นทหารรวมทั้งหมด 7 คน ไปสอบปากคำที่กรุงเทพฯ โดยทั้งหมดยังไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องหาแต่อย่างใด

วางประเด็นสอบปากคำ


กลุ่มผู้ต้องสงสัยทั้งหมดที่ถูกคุมตัวไปสอบสวนจะต้องถูกเจ้าหน้าที่ซักถามในประเด็นต่างๆ

ซึ่งมีการกำหนดประเด็นการสอบสวนเบื้องต้นไว้แล้ว คือ

ประวัติทั่วไป เช่น
ประวัติส่วนตัว
ภูมิลำเนา
ที่พักอาศัย
งานอาชีพ
ความรับผิดชอบ
สถานที่ทำงาน
สถานภาพครอบครัว
บัญชีธนาคาร
ยานพาหนะ
อาวุธที่ใช้ได้รับอนุญาตหรือไม่
โทรศัพท์
ทั้งที่บ้าน
ที่ทำงาน
และมือถือ
และเคยต้อง โทษคดีอาญาหรือไม่

ประเด็นต่อมาเป็นประเด็นหลัก มีด้วยกัน 7 ข้อ คือ

1. เคยไปช่วยราชการที่ไหนบ้างหรือไม่ อย่างไร ใครเป็นคนขอตัวไป ผู้ใดออกคำสั่ง และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่อะไร (ส่วนใหญ่จะไปช่วยราชที่ กอ.รมน.)

2. มีบัตรประจำตัว หรือบัตรผ่านเข้าออกสถานที่ทำงานหรือไม่

3. ทราบเหตุการณ์กรณีการลอบวางระเบิดที่แยก บางพลัด เมื่อปลายปี 2549 หรือไม่ อย่างไร

4. ขณะเกิดเหตุลอบวางระเบิดที่แยกบางพลัด อยู่ที่ไหน อยู่กับใคร ใครเป็นคนหาที่พักให้ และได้รับภารกิจให้ปฏิบัติงานใดหรือไม่ ที่ไหน อย่างไร ได้รับคำสั่งจากใคร เดินทางมาอย่างไร

5. รู้จักหรือมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีวางระเบิดดังกล่าวหรือไม่ กับผู้ใด มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เคยไปพบและทำงานร่วมกันบ้างหรือไม่ ที่ไหน เมื่อไร

6. ทราบเหตุลอบวางระเบิด 9 จุด ในช่วงระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 49-1 ม.ค. 50 หรือไม่ อย่างไร โดยทางไหน และ

7. ทำอะไร อยู่ที่ไหน ในวันที่ 30-31 ธ.ค. 49 และ 1 ม.ค. 50 มีผู้ใดพบเห็น และมีหลักฐานที่แสดงสถานที่อยู่ กิจกรรมที่ทำ รวมทั้งพยานที่รู้เห็น หากมีส่วนเกี่ยวข้อง ได้รับมอบหมายให้ ปฏิบัติงานใดหรือไม่ ที่ไหน อย่างไร ได้รับคำสั่งจากใคร เดินทางมาอย่างไร

ส่วนประเด็นเชื่อมโยงนั้นได้ถามว่าเคยผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรใดหรือไม่

ที่ไหน เมื่อใด (การวางระเบิด การรบในเมือง ฯลฯ) และในความเห็นของผู้ต้อง สงสัยเหตุวางระเบิดที่แยกบางพลัด และระเบิด 9 จุดนั้นน่าจะเกิดจากการกระทำของกลุ่มใด พร้อมทั้งสาเหตุที่ชัดเจน

เนื่องจากในการเข้าตรวจค้นครั้งนี้เป็นปฏิบัติการลับ

แต่เกิดมีข่าวรั่วถึงสื่อมวลชนทำให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของตำรวจไม่พอใจ จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับห้ามให้ข่าวใดๆต่อสื่อมวลชน นอกจากนี้ พล.ต.ท. ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผช.ผบ.ตร.

ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวน

ยังสั่งการให้ย้ายสถานที่ประชุมจากเดิมที่กำหนดไว้ที่ห้องประชุมกองปราบปราม ไปที่กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ โชคชัย 4

แต่เมื่อเห็นกองทัพสื่อมวลชนไปดักรออยู่จึงต้องยกเลิกแยกย้ายกันไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมายต่อไป โดยให้รายงานผลทางโทรศัพท์ ให้ทราบทุกระยะ

บึมกรุงเทพฯโยงคาร์บอมบ์


รายงานข่าวแจ้งว่า จากข้อมูลการข่าวระบุว่ากลุ่มผู้ต้องสงสัยในคดีระเบิด 9 จุดทั่วกรุงเทพฯ และ จ.นนทบุรีนั้น เป็นกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ต้องหาที่ก่อเหตุลอบวางระเบิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ในฐานะลูกน้องต่อกันไปเป็นทอดๆ แต่เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน เพียงแต่มีความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มบุคคลทั้ง 2 กลุ่มเท่านั้น

สพรั่ง ยันผู้เสียประโยชน์ทางการเมือง


ด้าน พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกและผู้ช่วยเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านผู้ต้องสงสัยลอบวางระเบิดหลายจุดในกรุงเทพฯและนนทบุรี เมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า

ขณะนี้กำลังเฝ้าดูการปฏิบัติอยู่ว่ามีผลอย่างไรบ้าง

ซึ่งจากการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการเขาบอกว่าไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายที่มาจากพื้นที่อื่น เป็นผู้เสียผลประโยชน์ทางการเมือง ทั้งนี้ คนที่มาวางระเบิดกับคนที่บงการต้องแยกออกจากกันคือ คนที่มาวางอาจถูกจ้างโดยใครก็ได้ให้มาวางบางคนบอกว่าไปใช้ทหารเลวหรือตำรวจเลวมาก็ได้

ต้องขอย้ำว่าถ้ามีการใช้ทหารหรือตำรวจ

ซึ่งคนที่ทำต้องเป็นคนที่มีความรู้ คือคนที่มีสีทั้งนั้น แต่คนที่บงการคนที่สั่งการ คือคนที่สูญเสียผลประโยชน์ทางการเมืองชัดเจนแต่จะส่งนัยถึงใครนั่น หรือเป็นกลุ่มไหนยังพูดไม่ได้

เมื่อถามว่า แสดงว่ากลุ่มที่ลงมือก่อเหตุคือผู้เสียประโยชน์ทางการเมือง พล.

อ.สพรั่งกล่าวว่า ใช่ ซึ่งผู้เสียประโยชน์ทางการเมืองมีหลายระดับ เหมือนกับการหุ้นบางคนก็มีหุ้นมาก บางคนมีหุ้นน้อย ซึ่งผู้เสียประโยชน์ทางการเมืองอาจจะเป็นนักการเมือง ผู้สนับสนุนนักการเมือง ญาตินักการเมือง

พวกที่เป็นหนี้บุญคุณนักการเมือง ซึ่งมีหลายกลุ่มแต่ยืนยันว่าไม่ใช่กลุ่มก่อการร้ายอย่างแน่นอน

เมื่อถามว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสรุปคดีให้ คมช. รับทราบใน 1-2 วันนี้หรือไม่

พล.อ.สพรั่งกล่าวว่า เจ้า หน้าที่ตำรวจระบุว่าจะเร่งรัดดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด ณ วันนี้ยังไม่มีการรายงานผลสอบอย่างเป็นทางการให้ทราบ

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะรายงานให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธาน คมช. รับทราบแล้วก็ได้ ซึ่งตนไม่รู้

สางบึ้ม-เผา รร.ต้องรอบคอบ


วันเดียวกัน เมื่อเวลา 11.00 น. ในรายการ สายตรงทำเนียบฯ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศโดยมี ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

และนางเนตรปรียา ชุมไชโย รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินรายการ ได้เชิญ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีไปร่วมรายการ

พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งว่า

ปัญหาในประเทศถ้าหากมองว่าจะใช้การเมืองในการแก้ไขปัญหา ก็ต้องใช้การแก้ไขโดยสันติวิธี เมื่อเริ่มใช้ ความรุนแรง ก็หมายถึงได้เปลี่ยนวิถีทาง มาเป็นการเผาโรงเรียน หรือระเบิด สิ่งเหล่านี้ตนคิดว่าไม่มีใครสนับสนุน

และไม่มีใครอยากให้เกิดความรุนแรง

หน้าที่ของรัฐบาลต้องกวดขันกับกลุ่มผู้ก่อการดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้กำชับ พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร. ให้เร่งรัดดำเนินการภายใต้กรอบเวลาที่เหมาะสม

แต่การสืบสวนจะต้องมีความรอบคอบ อยู่บนหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้คนผิดจริงมาลงโทษ ไม่ใช่คาดเดา เพราะถ้าหากเร่งแล้วคงจะเป็นเหมือนในอดีตที่ผ่านมา คือมีแพะ

ตนไม่อยากให้มีเหตุการณ์เช่นนี้ และคงเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีนักสำหรับคนไทย

ให้กรอบเวลาดีเอสไอสอบคดีฆ่าตัดตอน


ต่อข้อถามเกี่ยวกับมาตรการของรัฐบาลเพื่อให้ ความอุ่นใจกับประชาชน กรณีที่มีการขู่วางระเบิดบ่อยครั้งพล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ต้องมีมาตรการป้องกัน เฝ้าระวังและติดตาม เนื่องจากเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ที่มีขึ้นในทุกประเทศ เพราะข้อมูลข่าวสารแพร่ออกไปง่าย

แต่ ตรวจสอบลำบาก ดังนั้น

จึงต้องปรับตัวและต้องเฝ้าระวัง ตลอดจนติดตามแหล่งที่มาของคำขู่นั้นๆ สำหรับกรณีความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนคดีฆ่าตัดตอนในสมัยรัฐบาลที่แล้ว ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ กำลังดำเนินการ และได้เร่งรัดให้มีการสืบสวนสอบสวนไปแล้ว

แต่ในบางคดีก็ยังต้องรอหลักฐาน

รอการแจ้งจากเจ้าทุกข์ โดยในบางคดีได้กำหนดกรอบเวลาเพื่อขอรับรายงานผลการสืบสวนสอบสวนหรือความคืบหน้าของคดี


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์