วันนี้ (16 ก.พ.) พ.ต.ท.บูรฉัตร ขวัญคำ สารวัตรเวร สภ.ภูพิงค์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้รับแจ้งจากพระลูกวัดผาลาด (สกิทาคา)
ตั้งอยู่เลขที่ 101 หมู่ที่ 1 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ว่าพระพุทธรูป ภายในวัดถูกคนใจบาปเข้ามาทุบทำลาย จนได้รับความเสียหายจำนวนมาก ขอให้มาตรวจสอบและสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายด้วย หลังได้รับแจ้งจึงได้รีบรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง เมื่อไปถึงได้พบกับพระวัฒนพงษ์ เปงใจ อายุ 32 ปี พระลูกวัด จึงพาไปตรวจบริเวณที่เกิดเหตุ ก็พบว่ามีพระพุทธรูปเก่าแก่อายุกว่า 600 ปี ถูกทำลายได้รับความเสียหาย นับสิบองค์ และมีพระพุทธรูปที่ประชาชนนำมาประดิษฐานอีกกว่า 20 องค์ ถูกทำลายเสียหาย จนเศียรขาด ใบหูแหว่ง ใบหน้าแตกร้าว อีกทั้งใบเสมาที่ก่อสร้างด้วยอิฐ เป็นรูปลักษณะของพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ก็ถูกทุบจนแตก บางอันก็ถูกยกไปทิ้งน้ำพร้อมกับพระพุทธรูป
จากการสอบถามพระวัฒนพงษ์ ซึ่งเป็นพระลูกวัด ให้การว่า อาตมาจะเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน
ซึ่งก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์ในลักษณะแบบนี้ แต่ที่พบเจอคือจะมีคนที่สติไม่ค่อยดี แอบขึ้นมาจากทางด้านหลังวัด เพราะวัดแห่งนี้ไม่มีประตู และมีทางเข้าได้หลายทาง ซึ่งมักจะมีของหาย จากในวัดและไปถูกพบในป่าอยู่หลายครั้ง กระทั่งในวันนี้ได้เข้ามาทำความสะอาด ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเศียรพระพุทธรูปเก่าแก่ และพระอีกจำนวนมากถูกคนเข้ามาทำลายจนได้รับความเสียหาย ซึ่งวัดแห่งนี้ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ และทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมาก ดังนั้นจึงอยากให้เจ้าหน้าที่เร่งสืบสวนหาตัวคนใจบาปมาลงโทษให้เร็วที่สุด เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้เกรงว่าจะเกิดความเสียหายมากกว่านี้
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า น่าจะมีกลุ่มคนซึ่งเชื่อว่าเป็นคนสติไม่สมประกอบ หรืออาจจะมีกลุ่มที่ไม่พอใจเกี่ยวกับวัด อย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถบอกข้อมูลใดๆ ได้ อีกทั้งทางขึ้นวัดก็มีหลายทาง จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเชียงใหม่ มาตรวจสอบในวันที่ 17 ก.พ. เวลา 10.00 น. เพื่อหาหลักฐานในการใช้ติดตามหาคนร้ายใจบาปรายนี้มาดำเนินคดี ส่วนด้านการสืบสวนก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ภูพิงค์ อ.เมืองเชียงใหม่ ออกตรวจสอบโดยรอบๆ วัดเพื่อหาร่องรอยของคนร้ายแล้วเช่นกัน
สำหรับวัดแห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยพระญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งอาณาจักรล้านนา ราชวงศ์เม็งราย (พ.ศ. 1898 - 1928)
ถือเป็นยุคเริ่มต้นของความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในล้านนาโดยเฉพาะในเชียงใหม่ ได้มีการสร้างวัดขึ้นหลายวัดด้วยกัน ซึ่งก็รวมไปถึงวัดสวนดอกและวัดพระธาตุดอยสุเทพ เพื่อให้เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ วัดผาลาดก็เป็นอีกวัดหนึ่ง ที่ได้มีการก่อสร้างขึ้นในช่วงนั้น เมื่อประมาณหกร้อยกว่าปีมาแล้ว ซึ่งตามตำนานกล่าวกันว่า ช้างที่อัญเชิญพระบรมสารีริกธาติได้เดินทางมุ่งหน้าขึ้นดอยอ้อยช้าง (ดอยสุเทพในปัจจุบัน) แล้วได้มาหยุดอยู่ที่ยอดดอยแห่งหนึ่งแล้วย่อเข่าลงสามครั้งแล้วเดินต่อไป พอถึงข้างน้ำตกที่เรียกว่าห้วยผาลาดจึงหยุดพัก แล้วจึงเดินต่อไปแล้วหยุดพักอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะถึงสถานที่ตั้งวัดพระธาตุดอยสุเทพในปัจจุบัน
หลังจากสร้างวัดพระธาตุดอยสุเทพ (ซึ่งอยู่สูงสุด และถือเป็นวัดอรหันต์) เสร็จแล้ว
พระญากือนาทรงมีพระราชดำริให้สร้างวัดขึ้นอีก 3 วัด บริเวณที่ขบวนช้างหยุด เพื่อเป็นอนุสรณ์ตามรายทางการเสี่ยงทายสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในครั้งนี้ เมื่อสร้างเสร็จก็มอบให้ศรัทธาประชาชนเป็นผู้บำรุงวัดเหล่านี้ วัดทั้งสามวัดคือ วัดโสดาปันนาราม หรือวัดสามยอบ ตั้งอยู่ที่ยอดดอยที่ช้างย่อเข่าลงสามครั้ง ปัจจุบันเป็นวัดร้างอยู่ในเขตของวัดผาลาด และวัดที่สองคือวัดสกทาคามีวนาราม หรือวัดผาลาด ตั้งอยู่บริเวณที่ขบวนช้างหยุดพักริมลำธารห้วยผาลาด และวัดอนาคามีวนาราม หรือวัดม่อนพญาหงส์ ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณหอดูดาวสิรินธร คาดว่าในบริเวณนั้นคงจะมีหงส์หรือนกยูงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในขณะนั้น จึงเป็นที่มาของชื่อวัด
ปัจจุบันเป็นวัดร้างที่คงเหลือเพียงซากเจดีย์และซากวิหารเล็กๆ เท่านั้น สำหรับจุดที่พระพุทธรูปเสียหายนั้น เรียกว่าพระพุทธรูปหน้าผา แต่เดิมว่ากันว่าเป็นวิหารหน้าผาที่สวยงาม และมีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิประดิษฐานอยู่ แต่คงถูกทำลายลงในช่วงสงครามกับพม่า ภายหลังชาวไทยใหญ่มาอาศัยอยู่ที่วัด จึงสร้างพระพุทธรูปถวาย พระพุทธรูปที่เห็นอยู่ทุกวันนี้เป็นศิลปกรรมของไทยใหญ่