ด้าน ม.ธรรมศาสตร์ ที่สูญเสียทรัพยากรบุคคลสำคัญทั้งนักวิชาการ อาจารย์ นักศึกษาและบุคลากร จึงตั้งทีมกฎหมายขึ้นมาดูแลคดีเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งหมด โดยทำเรื่องถึงการอัยการฟ้องเด็กสาวดังกล่าว
คดีนี้คงจบไปแล้วหากเด็กสาวยอมรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดจริงตามที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 1 เป็นโจทก์ร่วมกับ มธ. ฟ้องเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ที่ผ่านมาว่า
จากสำนวนความผิดของเธอ ระบุว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2553 เวลากลางคืน จำเลยขับรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้าซีวิค หมายเลขทะเบียน ฎว 8461 กรุงเทพมหานคร ขึ้นบนทางยกระดับโทลล์เวย์ มุ่งหน้าถนนดินแดง ด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยได้กระทำประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะปกติจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่
โดยจำเลยไม่ขับรถในช่องทางซ้าย เมื่อมาถึงบริเวณแยกทางลงบางเขน ช่วงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เปลี่ยนช่องทางจากช่องขวาสุดมาช่องทางซ้ายถัดมา และยังเปลี่ยนกลับไปยังช่องทางขวาอีก เป็นเหตุให้รถยนต์ซีวิคของจำเลยพุ่งเข้าชนรถยนต์ตู้โดยสารทะเบียน 13-7795 กรุงเทพฯ วิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่มี นางนฤมล ปิตาทานัง อายุ 38 ปี เป็นคนขับ ทำให้รถยนต์ตู้เสียหลักหมุนไปชนขอบกั้นทางโทลล์เวย์พลิกคว่ำพังเสียหาย คนขับรถตู้โดยสารและผู้โดยสารภายในรถยนต์ตู้ กระเด็นออกจากตัวรถตกจากทางด่วนเสียชีวิตรวม 9 คน และบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก ส่วนรถยนต์ของจำเลยแฉลบเลยจากรถยนต์ตู้ประมาณ 50 เมตร นอกจากนี้ ก่อนเกิดเหตุจำเลยยังได้ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์ โดยมีหลักฐานเป็นรายงานการใช้โทรศัพท์มือถือของจำเลย ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธโดยตลอด
แต่เธอได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา...
ทำให้คดีนี้ต้องยืดเยื้อออกไป เดิมต้องนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกเมื่อ 27 ตุลาคม ที่ผ่านมา แต่เพราะปัญหาน้ำท่วมทำให้ตอนนี้เลื่อนมาเป็นเดือนเมษายน 2555 แทน
สำหรับในทางคดีเพ่งตอนนี้ทนายได้ยื่นฟ้องแล้วรวม 13 คดี โดยศาลนัดสืบพยาน 5 มีนาคม นี้ที่ผ่านมาคดีดังกล่าวอยู่ในกระบวนการยุติธรรมและขั้นตอนของกฎหมาย
...ไม่ได้มีความผิดปกติหรือมีการใช้อำนาจเหนือกฎหมายแต่อย่างใด
ความผิดของเธอคือ
1.ความผิดขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.ความผิดขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3.ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถยนต์ มีโทษปรับ 400-1,000 บาท
หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง ศาลอาจมีดุลพินิจตัดสินให้จำเลยรับโทษเบาลง ตามเงื่อนไขของกฎหมาย อย่างแรกคือจำเลยเป็นเยาวชน ศาลอาจตัดสินยกเว้นโทษให้
และใช้วิธีการสำหรับเด็กแทนคือ ให้ไปอบรมในสถานพินิจ
ผ่านมาแล้วหนึ่งปี แต่บทสุดท้ายของคดีสะเทือนขวัญวงการคิวรถตู้และการตายอย่างน่าอนาถใจเพราะผู้เสียชีวิตทั้งหมดเกิดจากการตกลงมาตากทางยกระดับโทลเวย์นั้นยังไม่มีคำตัดสินของศาล