เพลิงลุกไหม้รถเบนซ์หรูน้องชายที่ปรึกษามท.1 วอดไม่ต่ำกว่า 4 ล.หลังลูกสาวขับมาจอดในโรงเก็บรถเพียง 30 นาที ไฟลุกทั้งคัน เบื้องต้นคาดไฟลัดวงจร ไม่เกี่ยวระบบแก๊ส
เวลา 23.00 น.(11 พ.ย.) ศูนย์วิทยุสื่อสาร สภ.เมืองตรัง รับแจ้งเหตุมีเพลิงไหม้รถยนต์หลังบ้านเลขที่ 5/6 ถ.วังตอ ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง หลังรับแจ้งจึงประสานไปยังรถดับเพลิงเทศบาลนครตรัง นำรถน้ำมาดับเพลิงไปควบคุม เมื่อไปถึงพบ เพลิงกำลังโหมลุกไหม้ภายในห้องโดยสารด้านหน้าคนขับรถยนต์เบนซ์ รุ่น E 230 สีดำ ทะเบียน ฉน 8199 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นของนายจรินทร์ พาณิชย์กุล อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 7/1 ถ.วังตอ ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง น้องชายนายประสิทธิ์ พาณิชย์กุล รองกรรมการบริษัท ศรีตรังแอดโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษานายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่จอดอยู่ในโรงเก็บรถหลังบ้านดังกล่าว
โดยเจ้าหน้าที่ต้องระดมรถดับเพลิงจำนวน 4 คัน มาฉีดสกัดเพลิงที่กำลังโหมลุกไหม้อย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากและต้องระมัดระวัง เนื่องจากรถคันดังกล่าวติดแก๊ส โดยระหว่างที่กำลังฉีดสกัดน้ำเพื่อดับเพลิงอยู่นั้น ทันใดนั้นก็เกิดประกายไฟลุกไหม้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ต้องเร่งฉีดสกัดเพลิงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกรงว่าจะลุกลามไปติดรถยนต์กระบะโตโยต้า วีโก้ สีบอร์นทอง ที่จอดอยู่ใกล้กันอีกคัน และแก๊สที่ติดตั้งในรถยนต์จะระเบิด แต่ก็ไม่สามารถฉีดน้ำเข้าไปด้านในได้ จึงต้องใช้ขวานจามกระจกด้านหน้าของรถ เพื่อให้สามารถฉีดน้ำเข้าไปได้ โดยมีกลิ่นแก๊สลอยตลบอบอวนไปทั่ว ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ใช้เวลาควบคุมเพลิงให้อยู่ในความสงบประมาณ 40 นาที
จากการสอบถาม นายจรินทร์ เจ้าของรถเบนซ์คันดังกล่าว เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุลูกสาวเพิ่งจะขับรถเบนซ์กลับจากข้างนอก เข้ามาจอดที่โรงเก็บรถได้ประมาณ 30 นาที หลังจากนั้นไม่นานก็มีเพื่อนบ้านมาบอกว่า ไฟไหม้รถแล้ว สำหรับรถคันดังกล่าวเป็นรถมือสองที่เพิ่งซื้อต่อมาจาก กทม.และได้นำมาติดตั้งแก๊สเมื่อประมาณ 2-3 เดือนที่แล้ว โดยล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ ไดชาร์จเสีย และเพิ่งจะนำเข้าซ่อมที่อู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งในตัวเมืองตรัง กระทั่งมาเกิดเพลิงไหม้ดังกล่าว
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่สันนิษฐานสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้รถเบนซ์ครั้งนี้น่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร หรือไม่ก็สายไดชาร์จ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับระบบการติดตั้งแก๊สรถยนต์ เพราะถ้าหากเกิดจากระบบแก๊สแล้วสายไฟฟ้าก็จะละลาย แต่ระบบสายไฟไม่ละลาย อย่างไรก็ตามต้องรอตรวจสอบสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้ง