แฉแก๊งคอลเซ็นเตอร์แสบมาแนวใหม่ โทรฯลวงเหยื่อจับลูกหลานเรยกค่าไถ่

ต้องยอมรับว่า แก๊งมหาภัยคอลเซ็นเตอร์ ยังเป็นหนามยอกอกของวงการสีกากีเมืองไทย ที่ยังไม่สามารถปราบปรามให้สิ้นซากไปจากสังคมได้

แม้ทั้งหน่วยงานภาครัฐและธนาคารจะพยายามจับมือกันระดมสมองเพื่อช่วยกันหามาตรการป้องกันแทบทุกรูปแบบแล้วก็ตาม แต่เหล่าวายร้ายข้ามชาติซึ่งก็เกาะติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่รัฐเช่นเดียวกัน  จึงพยายามหาช่องโหว่เพื่อหลอกลวงต้มตุ๋นเหยื่ออย่างต่อเนื่อง
   
กลยุทธ์ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตั้งโจทย์ใหม่หาทางหลอกล่อ? สุ่มเบอร์โทรศัพท์ไปหาเหยื่อ หากรายไหนหลงกลติดกับดัก ก็จะพลาดท่าไปโอนเงินให้ที่ตู้เอทีเอ็ม !!
   
แม้ในปัจจุบันธนาคารเกือบทุกแห่งจะมีข้อความเขียน “เตือนภัย” หากใครกำลังจะกดโอนเงินผ่านทางตู้เอทีเอ็มแล้วก็ตาม แต่เหล่าวายร้ายแสบก็ยังสามารถโทรฯ ไปตุ๋นหลอกเงินได้อีก ดังเช่นเหตุการณ์ล่าสุด คราวนี้คนร้ายโทรศัพท์ไปตามเบอร์บ้านพัก เน้นเลือกคุยเฉพาะกับคนสูงอายุที่อยู่ตามบ้าน แล้วหลอกว่า จับลูกหลานไปเรียกค่าไถ่ พร้อมยังสร้างสถานการณ์มีทั้งเสียงตบตี หรือเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือปลายทาง เมื่อเหยื่อเริ่มตกใจพูดคุยด้วยก็เริ่มแผนทันทีว่า ให้รีบไปโอนเงินที่ตู้เอทีเอ็ม ไม่เช่นนั้นจะตัดแขน ขา อวัยวะ ฯลฯ ส่งกลับไปแทน
   
โจทย์ใหม่ขณะนี้ของแก๊งคอลเซ็น เตอร์จึงเป็นเรื่องของการจับตัวไปเรียกค่าไถ่ กำลังระบาดหนักย่านตลิ่งชัน เพชรเกษม

เพราะเป็นลักษณะสุ่มเบอร์เรียงกันไป วันหนึ่ง ๆ มีผู้ได้รับโทรศัพท์แก๊งคอลเซ็นเตอร์นับสิบราย บางคนก็ไหวตัวทันรีบโทรศัพท์ไปตรวจสอบข้อมูลจากลูกหลาน หรือบางรายก็จับผิดได้เพราะคนร้ายโทรฯ ไปบอกว่าจับตัวลูกสาวหลานสาว แต่เหยื่อมีแต่ลูกชายจึงไม่หลงกล เมื่อผิดแผนคนร้ายก็ต้องรีบวางโทรศัพท์ไปทันที
   
อย่างไรก็แล้วแต่การหวนกลับมาของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในรูปแบบโทรฯ มาแจ้งจับตัวเรียกค่าไถ่ ถือว่ามีการวางแผนมาพอสมควร

เพราะบางครั้งเมื่อบอกว่าจับลูกหลานใครไปเป็นตัวประกันแล้ว ยังจัดฉากแกล้งให้ได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือผ่านเข้าไปทางโทรศัพท์ เพื่อรอฟังเหยื่อหลงกลตะโกนเรียกชื่อ ลูกหลานตัวเองออกมา  หากรู้ชื่อแล้วก็จะรีบสวมรอยดำเนินการหลอกล่อต่อทันที ดังเช่นคดีล่าสุด มีข้าราชการเกษียณอายุ พลาดท่าถูกหลอกโอนเงินไปถึง 1.2 ล้านบาท หลังจากถูกคนร้ายโทรฯ หลอกว่าจับลูกสาวไปเป็นตัวประกัน  แต่คดีนี้ พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รอง ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธนพล สนเทศ ผบก.สปพ. (191) และ ตำรวจท่องเที่ยว สามารถกระชากหน้ากากจับกุมคนร้ายไว้ได้ เนื่องจากมีการประสานงานกับทางธนาคารพาณิชย์ ปลายทางที่คนร้ายไปกดโอนเงินออก จึงเห็นภาพชัดเจน จากนั้นมีการขยายผลจับกุม ได้ 4 คน ประกอบด้วย นายตัน เฉิน ฮัง อายุ 29 ปี ชาวมาเลเซีย และเป็นชาวไทย ภูมิลำเนา จ.เชียงราย 3 คน คือ นายพลศักดิ์ แซ่ม้า อายุ 23 ปี นายวิทยา แซ่หวง อายุ 24 ปี และนายประพันธ์ แซ่ลี อายุ 26 ปี
   
พล.ต.ต.ปัญญา เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายนี้ทำงานเป็นองค์กรแบ่งหน้าที่กันชัดเจน

โดยมีนายตัน เฉิน ฮัง ทำหน้าที่ประสานงานกับแก๊งที่ไต้หวันและจีนซึ่งเป็นศูนย์คอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีบรรดาคนไทยถูกจ้างไปทำหน้าที่เป็นคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์กลับมาหาเหยื่อ ส่วนชาวไทย 3 คนที่จับกุมได้ครั้งนี้เป็นพวก “ม้าเร็ว” นายพลศักดิ์ และนายวิทยา ทำหน้าที่ถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มที่เหยื่อหลงกลโอนเงินมาเข้าบัญชีในไทย จากนั้นจะให้นายประพันธ์เป็นคนนำเงินสดไปเข้าธนาคารเพื่อส่งต่อไปยังปลายทางต่างประเทศ
   
คดีนี้แก๊งคนร้ายได้หลอกโอนเงินจากข้าราชการเกษียณ ไปจำนวน 1.2 ล้านบาท หลังจากตำรวจได้รับแจ้งจากผู้เสียหายจึงรีบประสานทางธนาคาร
 
จนได้ภาพทีวีวงจรปิด ขณะนายวิทยา กำลังถอนเงินสดที่เหยื่อหลงกลโอนเข้าบัญชี จากตู้เอทีเอ็มในพื้นที่พัทยา จ.ชลบุรี จากนั้นมีการตรวจสอบข้อมูลสมุดบัญชีธนาคาร  และรูปพรรณสัณฐานคนร้าย กระทั่ง ได้เบาะแสความเคลื่อนไหวว่าคนร้ายกลุ่มนี้ พักอาศัยอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ย่าน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ทางตำรวจสอบสวนกลาง ประสานงานกับตำรวจ 191 นำกำลังเข้าจับกุมได้ของกลางเป็นจำนวนมาก ทั้งบัตร สมุดบัญชีธนาคาร สมุดจดหมายเลขบัญชีธนาคารจำนวนมาก ซึ่งมีหมายเลขบัญชีผู้เสียหายรวมอยู่ด้วย ทั้งนี้หมายเลขบัญชีของคนร้ายยังพบว่ามีเงินหมุน เวียนถึง 10 ล้านบาท แต่มียอดคงเหลือ 1.2 ล้านบาทจึงได้อายัดไว้
   
ผู้ต้องหาที่เป็นชาวไทยอ้างว่า สาเหตุเข้าร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายนี้ โดยทราบข่าวจากใบปลิวรับสมัครงานเขียนเป็น “ภาษาจีน” ที่ติดอยู่ตามตู้โทรศัพท์ใน จ.เชียงราย จึงลองโทรศัพท์ไปสอบถามก็มีชาวจีนเป็นผู้รับสมัคร จากนั้นจึงชวนเพื่อน ๆ รวมกลุ่มกันได้ 3 คนมาที่กรุงเทพฯ โดยมีนายตัน เฉิน ฮัง มอบหมายงานให้แค่ทำหน้าที่เป็นคนกดเงินแล้วนำไปโอนเงินส่งต่อไปต่างประเทศ ได้ค่าจ้างวันละ 1,000-1,400 บาท เพิ่งทำงานมาได้ไม่กี่วันก็ถูกตำรวจจับกุม
   
อย่างไรก็ดีในรอบเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ทางตำรวจได้เกาะติดความเคลื่อนไหวแก๊งคนร้ายอย่างต่อเนื่อง
 
ครั้งนี้มีตำรวจไต้หวันได้มาร่วมคลี่คลายคดีด้วย สืบเนื่องจาก พล.ต.ต. ปัญญา มาเม่น รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.โกวิทย์  วงศ์รุ่งโรจน์ ผบก.ปอศ.  พ.ต.อ.พันธนะ นุชนารถ ผกก.3 บก.ทท. ประสานงานกับ นายพิทักษ์ ลี หัวหน้าแผนกประสานงานด้านอาชญากรรม ตำรวจไต้หวันประจำประเทศไทย วางแผนนำกำลังตำรวจร่วมกันจับกุม นายสมชาย หรือ เฉิน แสงแก้ว อายุ 54 ปี  ได้พร้อมพวก 3 คน ของกลาง บัตรเอทีเอ็ม 43 ใบ   บัญชีธนาคาร 53 ใบ โทรศัพท์มือถือกว่า 10 เครื่อง  พาสปอร์ตของผู้อื่น 25 ใบ 
   
การจับกุมครั้งนี้ตำรวจไต้หวันได้ตรวจค้นเครือข่ายต้องสงสัยกว่า 10 จุดพร้อมประสานข้อมูลมาที่ประเทศไทย
 
ทาง พล.ต.ต.ปัญญา รอง ผบช.ก. ซึ่งเกาะติดเรื่องนี้มาตลอดจึงได้ขยายผลติดตามจับกุมเครือข่าย โดยนายสมชาย ถูกจับตามหมายจับค้างเก่าตั้งแต่เดือน ม.ค. 54 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น (หลอกให้โอนเงินในระบบ VOIP)  นอกจากนี้ทราบว่านายสมชาย ยังมีหน้าที่จัดหาคนไทยมาเปิดบัญชีธนาคารและบัตรเอทีเอ็ม
   
ขณะนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยังฉวยโอกาสออกเล่นงานสุจริตชนอย่างต่อเนื่อง

ส่วนใหญ่โทรฯ มาจากศูนย์คอลเซ็นเตอร์ในประเทศไต้หวันและจีน ที่จับกุมในเมืองไทยส่วนใหญ่เป็นพวกม้าเร็ว หรือกลุ่มที่มาตั้งศูนย์คอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทยแล้วโทรฯ ไปหลอกเหยื่อยังต่างประเทศ จะเรียกว่าจะขยายไปทั่วโลกก็ว่าได้ เพราะปัจจุบันโซนยุโรปและอเมริกาก็เริ่มมีแก๊งเหล่านี้โผล่ไปอาละวาดแล้วเช่นกัน
   
จะเห็นได้ว่าแก๊งคนร้ายปรับเปลี่ยน แปลงพฤติกรรมการโทรศัพท์มาต้มตุ๋นเหยื่อตลอดเวลา ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งประสานข้อมูลเพื่อตามให้ทันเล่ห์ของเหล่ามิจฉาชีพระดับอินเตอร์ ก่อนหน้านี้เห็นมีการตั้ง ศูนย์รับแจ้งเหตุและร้องทุกข์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 3 หน่วยงาน ได้แก่หมายเลข “1200” ของ กทช.  “1155” ของตำรวจท่องเที่ยว และหมายเลข “1135” ของ บก.ปคบ.
   
ในเมื่อยังไม่สามารถขุดรากถอนโคนแก๊งแสบให้สิ้นซาก แต่อย่างน้อยควรมีมาตรการเชิงรุก ไว้เล่นงานมิจฉาชีพกลุ่มนี้ให้ได้บ้าง.

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์