สนธิ ยันกลางศาล รัฐบาลทักษิณสั่งปลดรายการเมืองไทยฯ

สนธิ ยันกลางศาล รัฐบาลทักษิณสั่งปลดรายการเมืองไทยฯ

สนธิ ยันกลางศาล รัฐบาลทักษิณสั่งปลดรายการเมืองไทยฯ

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ 22 กุมภาพันธ์ 2549 12:45 น.

สนธิ ขึ้นเบิกความคดีฟ้อง บิ๊ก อสมท ฐานละเมิด เรียกค่าเสียหาย 1 บาท โดยระบุชัดจำเลยถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เพราะได้รับคำสั่งจากรัฐบาลที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินรายการ พร้อมยืนยันโจทก์ไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่เป็นการต่อสู้เพื่อให้ประชาชน และสังคมไทยได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและครบถ้วน

วันนี้ (22 ก.พ.) เวลา 09.30 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลออกนั่งบัลลังก์เพื่อทำการไต่สวนนัดแรกในคดีที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม ประธานบอร์ด อสมท, นายธงทอง จันทรางศุ กรรมการบอร์ด นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผู้อำนวยการใหญ่ อสมท และบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยที่ 1-4 ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ละเมิด เรียกค่าเสียหาย 1 บาท

โดยวันนี้ นายสนธิ โจทก์ขึ้นเบิกความในฐานะพยานปากแรก โดยพยานระบุว่าพยานได้เข้าไปเช่าเวลาของจำเลยที่ 4 จัดรายการออกทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2546 ในนามบริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด โดยใช้ชื่อรายการว่าเมืองไทยรายสัปดาห์ และพยานเป็นพิธีกรคู่กับ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ออกอากาศทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ และเป็นรายการที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 ใน 3 ของช่อง 9 อสมท ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2548 จำเลยที่ 1, 2 และ 3 ได้ร่วมกันแถลงข่าวออกทางช่อง 9 อสมท และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของ อสมท ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 4 เรื่องการปลดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ของโจทก์

โดยจำเลยที่ 1ได้แถลงระบุว่า การดำเนินรายการของโจทก์ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ถูกพาดพิง ได้แก้ตัว และทำให้ อสมท ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ทั้งที่ความจริงรายการของโจทก์มีการเปิดโอกาสให้ผู้ถูกพาดพิง รวมทั้งประชาชนทั่วไปได้แสดงความคิดเห็นผ่านทางโทรศัพท์มือถือ และขณะจัดรายการได้ขึ้นข้อความทางจอโทรทัศน์ทุกครั้ง

ขณะที่จำเลยที่ 2 ได้แถลงกล่าวหาโจทก์ว่ามักจะจัดรายการโดยมีการกล่าวถึงเรื่องพระราชอำนาจโดยไม่มีความรู้จริงทำให้สังคมเกิดความสับสน และพูดทำนองว่ามีเพียงจำเลยที่ 2 ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านราชวงศ์เท่านั้นที่รู้จริงเรื่องพระราชอำนาจ ทั้งที่ความจริงแล้วการดำเนินรายการของโจทก์เป็นการทำหน้าที่สื่อสารมวลชนโดยสุจริต และเป็นการทำหน้าที่ประชาชน ในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยโจทก์ได้กล่าวถึงกรณีการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ซ้อน 2 พระองค์ พร้อมนำเสนอข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ว่าสมเด็จพระสังฆราชไม่ได้ประชวรถึงขั้นปฏิบัติภารกิจไม่ได้ตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง รวมทั้งกรณีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ซึ่งโจทก์พูดอยู่เสมอว่ายังคงอยู่ในตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังมิได้โปรดเกล้าฯ ให้ออกจากตำแหน่ง และจนถึงวันนี้เรื่องราวก็ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้ว

นอกจากนั้น เรื่องโผโยกย้ายนายทหาร ซึ่งโจทก์ได้ตำหนินายกรัฐมนตรีที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าได้ส่งโผขึ้นไปแล้ว และคาดว่าจะโปรดเกล้าฯ ลงมาในวันพรุ่งนี้ ขณะที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ผบ.สส.ในขณะนั้น ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ของนายกรัฐมนตรีได้ออกมาให้สัมภาษณ์หลังจากโผแต่งตั้งโยกย้ายไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ มากว่า 20 วัน โดยระบุว่านายกรัฐมนตรีเซ็นแล้วใครจะกล้าเปลี่ยนแปลง ซึ่งล้วนเป็นการละเมิดและกดดันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นจอมทัพไทย ที่มีพระราชอำนาจ ทรงลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งแต่เพียงพระองค์เดียว

ขณะที่ จำเลยที่ 3 ได้ออกมาแถลงสรุปและสนับสนุนข้อมูลของจำเลยที่ 1 และ 2 ดังนั้น ทำให้เชื่อได้ว่า จำเลยทั้ง 4 มีเจตนาร่วมกันที่จะใส่ความโจทก์เพื่อให้ได้รับความเสียหาย โดยหลังจากนั้นโจทก์ยังถูกนายกรัฐมนตรีฟ้องร้องอีก 6 คดี และรัฐบาลได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศ ดำเนินคดีกับโจทก์ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และขออนุมัติหมายจับโจทก์ แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากศาล โดยศาลระบุชัดเจนว่าการกระทำของโจทก์มิได้เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จนในที่สุดนายกรัฐมนตรีต้องยอมถอนฟ้องโจทก์ หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสเรื่องเกี่ยวกับพระราชอำนาจ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548

นอกจากนั้น นายสนธิได้แถลงต่อศาลด้วยว่า การที่จำเลยที่ 1, 2 และ 3 มีคำสั่งถอดรายการของโจทก์ เพราะได้รับคำสั่งโดยตรงมาจากรัฐบาลที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินรายการของโจทก์ และการที่ต้องออกมาแถลงข่าวเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพื่อเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองในการถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ พร้อมกับยืนยันว่า การทำหน้าที่ของโจทก์ ไม่ได้เป็นการทำเพื่อตนเอง แต่เป็นการต่อสู้เพื่อให้ประชาชน และสังคมไทย เพื่อให้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและครบถ้วน

หลังนายสนธิเบิกความเสร็จ ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องนัดต่อไปในวันที่ 10 และ 19 พ.ค.นี้ โดยวันที่ 10 นายสนธิจะตอบคำถามค้านทนายจำเลยในประเด็นข้อสงสัย ส่วนวันที่ 19 จะเป็นการไต่สวนพยานปากต่อไป คือนายกล้านรงค์ จันทิก อดีตเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

นายสนธิ กล่าวภายหลังว่า การฟ้องร้องเป็นสิ่งที่ดีเพราะเป็นการสู้กันภายใต้กติกาที่ถูกต้อง เนื่องจากสังคมในปัจจุบันเหลือสถาบันศาลเพียงสถาบันเดียวที่ยังคงบริสุทธิ์ยุติธรรมและน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ที่น่าเชื่อถือก็มีเพียงศาลยุติธรรม และศาลปกครองเท่านั้น ส่วนศาลรัฐธรรมนูญยังคงเป็นสิ่งที่คลางแคลงใจและสงสัยของประชาชน

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์