ผบช.ก.สั่งทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนไต้หวัน ประสานสืบตม.ค้นรัง 3จุด กวาดมิจฉาชีพข้ามชาติได้คาของกลางอื้อ
วันนี้ (21ต.ค.) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ผบก.ทท. พล.ต.ต.สุรพล หอมชื่นชม ผบก.ปอท. พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทน ผบก.ป. พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผกก.1 บก.สส.สตม. ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนและไต้หวัน เป็นชาย 14 และหญิง 9 คน รวม 23 ราย พร้อมของกลาง เครื่องโทรศัพท์ 26 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค 6 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 1 ชุด อุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ต 7 เครื่อง วิทยุสื่อสาร 8 ตัว VOIP GATEWAY 19 เครื่อง และอุปกรณ์ปลอมแปลงหนังสือเดินทางอีกเป็นจำนวนมาก
พล.ต.ต.ปัญญา กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวัน ได้ประสานข้อมูลมายัง บช.ก.ว่ามีคนร้ายชาวจีนและไต้หวัน ลักลอบเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์คอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์หลอกลวงผู้เสียหายชาติเดียวกันให้โอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม สร้างความเสียหายนับพันล้านบาท นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนร้ายที่ปลอมหนังสือเดินทางเพื่อส่งชาวจีนไปยังประเทศที่ 3 จึงสั่งการให้ทาง บก.ป. บก.ทท.วางแผนสืบสวนสอบสวนร่วมกับ สตม.เฝ้าติดตามพฤติการณ์ผู้กระทำความผิด กระทั่งพบข้อมูลสถานที่ตั้งแน่ชัดแล้วจึงขออนุมัติหมายค้นศาลอาญา เข้าตรวจค้นที่พัก 3 จุด ประกอบด้วย บ้านเลขที่ 12 ถนนวิภาวดี ซอย 16 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กทม. บ้านเลขที่ 33/5 ห้อง 301 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. และที่บ้านเลขที่ 99/233 ถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 10 แยก 9-1-15 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.พร้อมกับตรวจยึดของกลางทั้งหมดไว้ได้
พล.ต.ต.ปัญญา กล่าวอีกว่า สำหรับพฤติการณ์การกระทำความผิดของกลุ่มผู้ต้องหามีการพัฒนารูปแบบและวิธีการเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบและติดตามจับกุมของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา โดยล่าสุดพบว่ามีการเปิดบัญชีธนาคารรอรับเงินที่ผู้เสียหายซึ่งหลงเชื่อโอนเงินเข้าไปแล้ว สามารถกดเงินออกที่ปลายทางในต่างประเทศได้แล้ว ซึ่งส่วนนี้ทางการไต้หวันก็มีความเข้มงวดในการตรวจสอบและสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้แล้วกว่า 200 ราย ส่วนผู้ต้องหาทั้งหมดที่จับกุมได้ครั้งนี้ในเบื้องต้นแจ้งข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรชั่วคราวประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันปลอมแปลงหนังสือเดินทาง ตราประทับของเจ้าหน้าที่ตรวจค้นเข้าเมือง
สอบสวนทั้งหมดให้การรับสารภาพ ซึ่งการตรวจสอบข้อมูลพบว่าบางส่วนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้กว่า 1 ปี มีการติดต่อกับผู้ร่วมกระทำความผิดที่ไต้หวัน ซึ่งตามแนวทางการสืบสวนเจ้าหน้าที่เชื่อว่ายังมีผู้ร่วมกระทำความผิดอีกหลายราย และบางส่วนได้ถูกทางการไต้หวันจับกุมตัวได้แล้ว นอกจากนี้ผู้ต้องหาบางส่วนได้เตรียมเดินทางต่อไปยังประเทศเวียดนาม มาเลเซีย ฯลฯ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการปลอมแปลงหนังสือเดินทางดังกล่าว
ขณะที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผบช.ก. กล่าวว่า ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องทุกหน่วยในสังกัด บช.ก.เร่งสืบสวนติดตามจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ยังอาละวาดอยู่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีการขายข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของลูกค้าให้กับผู้กระทำความผิดก็จะพิจารณาดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด ส่วนกรณีของผู้ที่ว่าจ้างให้ไปเปิดบัญชีธนาคารนั้นต้องตรวจสอบเป็นรายๆ ไป