วันที่ 13 ก.ย. ที่โรงแรมปรินช์ พาเลช นายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือในการปฏิบัติงานร่วมกันเพื่อจัดระเบียบบุคคลเร่ร่อนในเขตกทม. ระหว่าง กระทรวงพม. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กทม. มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก มูลนิธิกระจกเงา และองค์การเฟรนอินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย โดยนายอิสสระ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาคนเร่ร่อน ขอทานและการค้ามนุษย์ ทั้งการปราบปรามผู้กระทำผิด และคุ้มครองผู้เสียหาย แต่การทำงานระหว่างหน่วยงานยังขาดการบูรณาการการทำงานร่วมกันโดยเฉพาะการคัดแยกผู้เสียหายและส่งผู้เสียหายไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ทำให้ประเทศไทยถูกประเทศสหรัฐอเมริกาจัดลำดับให้อยู่ในรายงานการค้ามนุษย์ ปี 2553 ลำดับ ที่ 2.5 ของ Tier watch List เนื่องจากสหรัฐฯ มองว่าประเทศไทยทำผิดขั้นตอนการแก้ปัญหาและช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์โดยไม่มีการคัดแยกเหยื่อออกจากขบวนการค้ามนุษย์
นายอิสสระ กล่าวว่า ความจริงประเทศไทยก็ดำเนินการเรื่องนี้มาตลอด แต่ที่เป็นปัญหาเพราะเป็นความจงใจที่จะใส่ร้ายประเทศไทย
โดย นางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ สหรัฐฯ เป็นตัวตั้งตัวตี จนทำให้ประเทศไทยต้องถูกปรับลดอันดับจาก 2 เป็น 2.5 ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศไทย ได้มีหนังสือประท้วงชี้แจงข้อเท็จจริงไปแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะสหรัฐฯ เชื่อมั่นในข้อมูลของตัวเองและได้ลงความเห็นให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ปฏิบัติต่อคนเร่ร่อน ขอทาน ต่ำกว่าหลักสากล การลงนามข้อตกลง 6 หน่วยงาน จะทำให้สหรัฐฯ เห็นถึงความจริงใจที่รัฐบาลไทยต้องการเข้าไปแก้ปัญหาการค้ามนุษย์อย่างเป็นระบบ เพราะบางคนมาเพราะถูกบังคับ บางคนถึงจะสมัครใจมาแต่ก็ไม่ได้เกิดจากเจตนาแต่เพราะต้องการรายได้จากขอทานวันละ 300 บาท แต่ถ้าเป็นช่วงเทศกาลจะได้ถึงวันละ 1,000 บาท
นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงพม. กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้หนีจากลำดับประเทศที่อยู่ใน ลำดับ 2.5 ของ Tier watch List
เพื่อไม่ให้อยู่ในลำดับ 2.5 สองปีซ้อน เพราะจะถูกปรับให้อยู่ในลำดับ 3 ซึ่งถือเป็นลำดับที่แย่ที่สุดในการเอาจริงกับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลายๆด้าน อาทิ การกีดดันทางการค้า นายวิธนะพัฒน์ รัตนาวลีพงษ์ หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า จากการรณรงค์ยุติธุรกิจขอทานให้หมดไปภายใน 1 ปี ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบการนำเด็กมาขอทาน โดยให้เด็กมาขายดอกไม้ ลูกอม ทิชชู่ เช็ดกระจก ช่วงกลางคืน 22.00-24.00 น.ย่านสุขุมวิท อโศก อนุสาวรีย์ชัยฯ แทน เพราะมีรายได้ดีพอๆกับขอทาน และเป็นการเลี่ยงกฎหมายที่จะจับกุมทันหากพบการนำเด็กมาขอทาน โดยยังใช้เด็กเล็กๆ ขอทาน ขณะที่เด็ก 5-6 ขวบ จะให้ไปขายของ นอกจากนั้นพบว่าจากที่เคยมีการนำเด็กนักเรียนจากหลายหมู่บ้านในตำบลหนึ่งของจ.สุรินทร์ มาเป่าแคนขอเงิน โดยเป็นนักเรียนประถมโรงเรียนหนึ่งมี 50 คน มีการพาเด็กมาเป่าแคนถึง 40 คน ขณะนี้สวนจตุจักรมีการห้ามเข้าแล้ว จึงมีการย้ายพื้นที่ไปยังอนุสาวรีย์ชัยฯ หน้าห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว
“อบต.ที่ดูแลในพื้นที่ก็ห้ามคนในพื้นที่ไม่ได้ เพราะแม้แต่แม่ของอบต.เอง ก็ยังมาเป่าแคนขอเงินที่กทม. โดยตอนนี้มีทั้งการนำเด็ก คนแก่ มาเป่าแคน เป่าขลุ่ยขอเงิน โดยเด็กเล็กสุดที่มาอยู่แค่ป.1-ป.2 โดยจะมาช่วงเสาร์-อาทิตย์และช่วงปิดเทอม นอกจากนั้นมีการขยายวงลามไปจังหวัดอื่นๆด้วย เช่น บุรีรัยม์ ศรีสะเกษ ที่เกิดค่านิยมแบบนี้ เพราะอยู่บ้านทำนาได้ผลไม่ดี โดยคนในชุมชนเองที่ผันตัวเป็นนายหน้าพาคนมา บางรายก็เป็นแก๊งค้ามนุษย์ต่อไปอาจมีการไปซื้อเด็กต่างถิ่นมาแสวงประโยชน์ได้ เพราะเด็กที่มาเป่าแคนเป่าขลุ่ยขอเงินรายได้เดือนละเป็นหมื่น แต่เมื่อได้เงินมาบางครอบครัวกลับใช้เงินฟุ่มเฟือยไปซื้อมือถือ ผ่อนรถ บางคนถึงกับให้ลูกเลิกเรียนหนังสือเพื่อมาทำเป็นอาชีพหลักเลยก็มี”หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน มูลนิธิกระจกเงา กล่าว
แฉนายหน้าพาเด็กอีสานป.1-ป.2 คนแก่เป่าแคนขอเงินกทม.
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวอาชญากรรม แฉนายหน้าพาเด็กอีสานป.1-ป.2 คนแก่เป่าแคนขอเงินกทม.