ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 7 กันยายนเห็นชอบมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียน นักศึกษา
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอแล้ว ทั้งนี้ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 กันยายน หลังประชุม ครม.ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวที่ ศธ.เสนออย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา โดยให้บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวง กรม หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง มี ศธ.เป็นหน่วยงานหลักในการประสาน และจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นายชินวรณ์กล่าวว่า สำหรับมาตรการมีดังนี้ มาตรการเชิงรุก ศธ.เห็นว่าช่วงเดือนตุลาคม 2552-กันยายน 2553 มีเหตุการณ์นักเรียน นักศึกษา ก่อเหตุทะเลาะวิวาท 45 ครั้ง
และพฤติกรรมช่วงหลังนำไปสู่ความรุนแรงจนมีผลให้ผู้บริสุทธิ์เสียหายและเสียชีวิต จึงกำหนดให้สถานศึกษาจัดทำข้อมูลประวัตินักเรียน นักศึกษาเป็นรายบุคคล โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงกระทำผิด พร้อมภาพถ่าย และประวัติผู้ปกครอง จัดส่งให้สถานีตำรวจในพื้นที่ ศูนย์เสมารักษ์ ศธ. และแจ้งผู้ปกครองรับทราบ โดยให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน และให้มีการติดตามเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง โดยให้ตำรวจ เจ้าหน้าที่ศูนย์เสมารักษ์ เจ้าหน้าที่เทศกิจพิทักษ์นักเรียนของกรุงเทพมหานคร (กทม.) สุ่มตรวจพื้นที่เสี่ยง หากพบกระทำผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
นายชินวรณ์กล่าวว่า ให้ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้รับใบอนุญาต ครูอาจารย์กำกับดูแลความประพฤติของนักเรียน นักศึกษา
ถ้าปล่อยปละละเลยให้เกิดปัญหาบ่อยครั้ง ให้หน่วยงานต้นสังกัดแก้ไขปัญหาโดยเร็ว สำหรับสถานศึกษาเอกชนให้ลงโทษโดยปิดสถานศึกษาเป็นการชั่วคราว และหากยังเกิดเหตุซ้ำซากให้ถอนใบอนุญาต ซึ่งเท่ากับปิดสถานศึกษาถาวร ให้ตั้งภาคีเครือข่าย และเปิดช่องทางการแจ้งเหตุผ่านสายด่วน 1579 และ 600 และตั้งคณะกรรมการติดตามตรวจสอบ รวมทั้งสอบสวนสถานศึกษาที่ปล่อยปละละเลย และรายงานผลต่อรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ทุกวัน
"ที่มีข่าวว่า ศธ.จะส่งเด็กหัวโจกไปบำเพ็ญประโยชน์ในพื้นที่ท้าทาย อาทิ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ยังเป็นเพียงข้อเสนอ เป็นเพียงการจัดอบรมทำประโยชน์ให้กับสาธารณะ อาจมีทหารมาร่วมจัดทำหลักสูตร เช่น โครงการวิวัฒน์พลเมือง แต่ไม่ใช่ข้อสรุปของ ศธ. เพราะผมเห็นว่ายังมีวิธีการอื่นแก้ไขปัญหา อีกทั้งการส่งเด็กกลุ่มดังกล่าวลงไปชายแดนภาคใต้ จะยิ่งสร้างปัญหาซ้ำซ้อน รวมทั้งเป็นภาระด้านงบประมาณ"