ติงกม.จับซีดีหนักไปควรแก้ ด้าน “พงศพัศ”ควักเงินจ่ายค่าปรับแทน พร้อมมอบ 5 หมื่นให้ลูกจ้าง กทม.ใช้หนี้
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 18 ส.ค. นายสุรัตน์ มณีนพรัตน์สุดา ลูกจ้างเก็บขยะของ กทม.เปิดจำหน่ายวีซีดีเป็นแผงลอย ไม่มีเลขที่
ตั้งอยู่ริมบาทวิถี ในตลาดนัดใกล้สี่แยกกรุงเทพกรีฑา เขตบางกะปิ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต จนถูกตำรวจโรงพักหัวหมากบุกจับกุม ถูกศาลตัดสินปรับ 133,400บาท ฐานเป็นผู้ประกอบการจำหน่ายให้เช่าภาพยนตร์ฯ โดยไม่ได้รับอนุญาตฯ พร้อมครอบครัวได้เดินทางมารับมอบเงิน จำนวน 5 หมื่นบาทจาก พล.ต.ท.พงศพัศ พงศ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำไปใช้หนี้นอกระบบที่กู้เพื่อใช้ต่อสู้คดี นายสุรัตน์ กล่าวว่า ขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอดต่อไปจะไม่เก็บซีดีเก่ามาขายอีกแล้ว ตนเข็ดหลาบแล้ว ทั้งนี้อยากฝากเตือนประชาชนว่าอย่าทำอย่างตนเนื่องจากเป็นสิ่งผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตามช่วงบ่ายตนจะเดินทางไปสภาทนายความ เพื่อดำเนินการเรื่องการอุทธรณ์คดี
ด้าน พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวว่า ตนมาช่วยเหลือเรื่องเงิน เพื่อให้นายสุรัตน์นำไปใช้กนี้นอกระบบ
ในส่วนของคดีตอนนี้นายสุรัตน์ก็ดำเนินการอุทธรร์อยู่ ปัญหาที่เกิดขึ้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้พล.ต.อ. ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. ฝ่ายกฎหมาย ไปดูแลเพราะกฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายใหม่ ต้องดูเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบว่าข้อกฎหมายกำหนดไว้อย่างไร ประชาชนจะทำอย่างไรให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยจะร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมว่าจะทำอย่างไรที่จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจ
ต่อมานางอัมพร นิตย์เจริญ อายุ 45 ปี เดินทางเข้าร้องเรียน พล.ต.ท.พงศพัศ กรณีนายสมชัย นันทวนิชย์ อายุ 46 ปี สามี
อยู่บ้านเลขที่ 85/42 ซอยสุขสวัสดิ์ 14 แขวงจอมทอง เขตจอมทอง ถูกตำรวจบางมด จับกุมเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะนำแผ่นซีดีภาพยนตร์ของ ด.ช.อดิศร นันทวนิชย์ อายุ 9 ปี ลูกชายที่ซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าแผ่นละ 59 บาท โดยดูเบื่อแล้ว จำนวน 19 แผ่น พร้อมเสื้อผ้าเก่า ไปวางขายบนสะพานลอยคนข้าม ถนนพระราม 2 โดยขายแผ่นละ 20 บาท เพื่อหาเงินโดยไม่รู้ว่าการขายแผ่นซีดีโดยไม่ได้รับอนุญาตผิดกฎหมาย ขณะที่ขายอยู่ถูกตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 คนเข้ามาจับกุม ก่อนขอเงิน 2 พันบาท แต่สามีไม่มีให้เลยถูกนำตัวไปดำเนินคดีที่โรงพัก
“พงศพัศ”ควักเงินจ่ายค่าปรับขายซีดีขยะ
นางอัมพร กล่าวต่อว่า ต่อมาวันที่ 28 ก.ค.สามีตนถูกศาลพิพากษาปรับ 2 แสนบาท แต่เจ้าตัวรับสารภาพศาลจึงเมตตาลดเหลือปรับ 1 แสนบาท
ครอบครัวตนฐานะยากจน ไม่มีเงินเสียค่าปรับ สามีเลยถูกกังขังที่สถานกักขังกลางปทุมธานี เป็นเวลา 1 ปี แทนค่าปรับ ขณะนี้ถูกคุมขังมานานกว่า 20 วัน ชดใช้ค่าปรับวันละ 200 บาท เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ครอบครัวเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะสามีเป็นลูกจ้างร้านขายอะไหล่รถยนต์หาเงินเลี้ยงครอบครัว จึงต้องเดินทางมาร้องขอความช่วยเหลือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังเห็นข่าวของนายสุรัตน์ เนื่องจากเป็นกรณีเดียวกัน ทั้งนี้ 2 ครอบครัวได้จับมือแสดงความยินดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากตำรวจ
หลังรับเรื่อง พล.ต.ท.พงศพัศ ได้ให้การช่วยนางอัมพรทันที
โดยพาไปจ่ายเงินค่าปรับที่ศาลอาญาธนบุรีเป็นเงิน 95,000 บาท เพื่อช่วยเหลือสามีให้เป็นอิสระ ก่อนจะพานางอัมพร และ ด.ช.อดิศรเดินทางไปรับตัวนายสมชัย ที่สถานกักขังกลางจังหวัดปทุมธานี (คลองห้าธัญบุรี) ต.รังสิต อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เมื่อทั้งสามได้พบหน้ากันต่างโผกอดร้องไห้ด้วยความดีใจ
ที่รัฐสภา นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ รมว.วัฒนธรรม (วธ.)กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวออกสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์
ตนไม่ได้ตำหนิว่าออกมาเหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่ ขณะนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าบทลงโทษรุนแรง โดยเฉพาะค่าปรับเป็นวงเงินที่สูงมาก ซึ่งจะเห็นว่ารัฐบาลมีการเร่งรัดออกกฎหมายในลักษณะนี้จำนวนมาก มีบทลงโทษที่รุนแรง เข้าใจว่าในช่วงที่ออกเป็นช่วงที่ผู้ประกอบกิจการภาพยนตร์ เกรงว่าจะมีการทำก๊อปปี้ภาพยนตร์ออกไปจำหน่ายจำนวนมาก จึงออกกฎหมายลงโทษในสถานหนัก อย่างไรก็ตามขณะนี้ทั้งผู้ประกอบการ และผู้พิพากษาต่างเห็นว่าควรมีการแก้ไขบทลงโทษ
รมว.วธ. กล่าวต่อว่า ทางกระทรวงฯ ไม่ทราบเรื่องการดำเนินคดีดังกล่าว
แต่ยอมรับว่าตำรวจที่จับกุมได้สอบถามมายังกระทรวงฯว่าผู้ต้องหามีใบอนุญาตในการจำหน่ายหรือไม่ เมื่อตรวจสอบไม่พบว่าเป็นผู้ได้ใบอนุญาต ซึ่งเราก็มีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเท่านี้ ไม่ได้เห็นของกลางจึงไม่สามารถบอกได้ว่าของกลาง เป็นจริงหรือของปลอม ถามว่ากระทรวงฯจะมีการดำเนินการอย่างไรในคดีนี้ นายนิพิฎฐ์ ตอบว่า ส่วนตัวเห็นว่าบทลงโทษระหว่างผู้ประกอบการกับผู้จำหน่ายควรจะแตกต่างกัน ทั้งนี้เนื่องจากเป็นกฎหมายใหม่ ดังนั้นคงต้องฟังเสียงวิจารณ์จากสาธารณชนสักระยะว่า เห็นควรดำเนินการอย่างไรโดยเฉพาะผู้ประกอบการ
ด้าน พ.ต.อ.สวัสดิ์ จำปาศรี ที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า หลังเกิดเรื่อง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.
เป็นห่วงในเรื่องนี้ได้มอบหมายให้ตนเป็นคนกลางในการให้ความช่วยเหลือด้านคดี นอกจากนี้ในการประชุมหัวหน้าหน่วยงานในวันที่ 19 ส.ค.นี้ ผู้ว่าฯกทม. จะกำชับในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ทั้ง 50 เขต จัดประชุมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ขนเก็บมูลฝอย ในเรื่องข้อกฎหมายและให้ระมัดระวังวัตถุอันตราย รวมทั้งจะออกหนังสือเวียนกำชับทั้ง 50 เขต เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่เก็บขนมูลฝอยคนอื่นอีก