หางพายุ “โกนเซิน” พ่นพิษทั่วไทยจมน้ำ ที่อ่างทองต้นไม้หักโค่นทับบ้าน และสายไฟฟ้าแรงสูงพังยับ
ขณะเดียวกัน รมว.แรงงานลงพื้นที่ประจวบ ซับน้ำตาผู้ประสบภัยช่วยรายละ 3 พันบาท ขณะที่น่านหลายตำบลจมบาดาล มีทั้งถนนและคอสะพานขาด ดินถล่มปิดทับเส้นทางขึ้นอุทยานแห่งชาติดอยภูคา คนข้างในถูกตัดจากภายนอก กรมอุตุชี้ พายุ “โกนเซิน” กำลังแรงอ่อนเป็นแค่ดีเปรสชั่นแล้ว เตือนใครอยู่ใกล้ทางน้ำไหลผ่าน ระวังเจอน้ำท่วมฉับพลัน ส่วนที่อุบลแล้งหนักจนต้องทำพิธีขอฝน เพราะไม่มีฝนตกมาตั้งแต่ปลายเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว
ไทยเจอพายุฝนกระหน่ำทั่วประเทศ บ้านเรือนไร่นาเสียหายยับ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า
เมื่อช่วงเย็นวันที่ 17 ก.ค. มีพายุพัดบ้านเรือนเสียหายอย่างหนัก กินพื้นที่เป็นวงกว้างหลายตำบล เกี่ยวกับเรื่องนี้นายสมชาย อนะวัชกุล นายอำเภอเมืองอ่างทองเปิด เผยว่า มีบ้านเรือนประชาชนใน 3 ตำบล ประกอบด้วย ต.บ้านแห ต.คลองวัว และ ต.โพสะ ถูกพายุพัดพังเสียหายไปกว่า 30 หลังคาเรือน อีกทั้งต้นไม้ขนาดใหญ่อายุกว่า 100 ปี ถูกพายุพัดหักโค่นทับบ้าน โรงรถ และสายไฟฟ้าแรงสูงเสียหายอีกด้วย เบื้องต้นตนได้สั่งให้ทุกตำบล ออกสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น เพื่อหาทางช่วยเหลือเบื้องต้นต่อไป
ส่วนที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.แรงงาน
พร้อมคณะได้เดินทางลงพื้นที่หมู่ 6 บ้านเกตุเอน หมู่ 6 บ้านนิคม และหมู่ 7 บ้านร่มไทร ต.อ่าวน้อย อ.เมือง และในเขตเทศบาลเมืองประจวบฯ หลังโดนพายุฝนพัดกระหน่ำหลังคาบ้านพังเสียหายไป 74 หลังคาเรือน โดยมีนายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผวจ.ประจวบคีรีขันธ์มารายงานความเสียหายที่เกิดขึ้น พร้อมกับสั่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยรายละ 3,000 บาท จากนั้นประสานทหารอากาศจากกองบิน 5 ทหารบกจาก ฉก.จงอางศึก และตชด.ที่ 14 จำนวน 120 นาย มาตั้งเต็นท์คอยช่วยเหลือซ่อมแซมบ้าน เคลื่อนย้ายทรัพย์สินที่เสียหายไปไว้ที่อื่น
พายุโกนเซินทำไทยจมนํ้าท่วมฉับพลัน
ขณะที่ จ.น่าน ได้เกิดน้ำป่าไหลหลาก เข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรหมู่ 2 หมู่ 4 หมู่ 12 และหมู่ 13 ต.สถาน อ.ปัว
และอีกหลายตำบลยังโดนน้ำป่าไหลทะลักจนต้องหนีขึ้นที่สูง อาทิ ต.ปัว ต.ไชยวัฒนา และ ต.ศิลาแลง อ.ปัว บางบ้านไม่สามารถขนของหนีน้ำทัน ทำให้เมล็ดพืช ข้าวเสียหายไปกับน้ำจำนวนมาก นอกจากนี้ถนนสายปัว- ทุ่งช้าง ซึ่งเป็นถนนสายหลักระดับน้ำเอ่อล้นสะพานจนไม่สามารถใช้สัญจรไปมาได้ คอสะพานบ้านศิลาเพชร ต.ศิลาเพชร อ.ปัว กระแสน้ำซัดจนคอสะพานขาด ดินถล่มปิดทางขึ้นอุทยานแห่งชาติดอยภูคา อ.ปัว จนคนข้างในออกมาไม่ได้ และคนข้างนอกเข้าไปไม่ได้ คาดว่ากว่าจะเคลียร์ดินออกหมดคงใช้เวลานานหลายชั่วโมง นอกจากนี้น้ำยังไหลเข้าท่วมที่บ้านนาหนุน 1 และบ้านนาหนุน 2 ต.ผาตอ อ.ท่าวังผา ไปอีกหลายหลังคาเรือน นายมนัส ขันใส นายอำเภอท่าวังผา ต้องอพยพชาวบ้านกว่า 100 ชีวิตไปพักในโรงเรียนบ้านสันเจริญ ก่อนเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ
วันเดียวกันกรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า พายุโซนร้อน “โกนเซิน” บริเวณ ประเทศเวียดนามตอนบนได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 60 กม.ต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยความเร็วประมาณ 18 กม. ต่อชั่วโมง คาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อม ความกดอากาศต่ำในระยะต่อไป
ลักษณะเช่นนี้จะทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทยมีกำลังแรง และทั่วประเทศมีฝนตกชุกหนาแน่น
โดยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชน บริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากในช่วงวันที่ 18-19 ก.ค. ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน จะมีกำลังแรงขึ้นด้วย ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังในช่วงนี้ด้วย
ขณะที่หลายจังหวัดเจอน้ำท่วมอย่างหนัก แต่ทางภาคอีสานกลับแล้งจนดินแตกระแหง โดยที่ จ.อุบลราชธานี
ที่วัดพระโต บ้านปากแซง ต.พะลาน อ.นาตาล ได้มีประชาชนกว่าพันคน มาทำพิธีสักการะพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ พระพุทธรูปโบราณอายุกว่าพันปี ที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์วัดพระโต เพื่อขอให้ฝนตกเนื่องจากไม่มีฝนตกมานานหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่ปลายเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว จนทำให้ข้าวกล้าที่ตกไว้สำหรับปักดำแห้งตายหมด โดยเหตุการณ์ฝนแล้งลักษณะนี้ ที่ จ.อุบลราชธานี เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 57 ปีที่แล้ว โดยสมัยนั้นเมื่อฝนแล้งชาวบ้านจะเข้าป่า หาขุดหัวมันหัวกลอยมากินแทนข้าวได้ แต่สมัยนี้ป่าถูกบุกรุกจนเกลี้ยง จนหัวมันหัวกลอยไม่หลงเหลืออยู่เลย.