วันนี้( 22 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษก รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ให้สัมภาษณ์ ถึงความคืบหน้าคดีคนร้ายยิงระเบิดอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหม และสำนักงาน ป.ป.ช. แห่งใหม่ ว่า จากการตรวจสอบขณะนี้ ได้หลักฐานชิ้นสำคัญที่สาวไปถึงตัวบุคคลได้ โดยหลักฐานชี้ชัดได้ว่าเป็นกลุ่มใด และครั้งนี้เกิดพลาดทำให้ผู้ก่อเหตุก็ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งรถที่สงสัยก่อเหตุก็ได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยอยู่ระหว่างการสอบปากคำ โดยเจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบเจ้าของดีเอ็นเอ คราบเลือดของคนร้ายที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นใครมาจากไหนหรือเป็นกลุ่มใด โดยพบคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ในตัวรถ ล่าสุด พบภาพผู้ต้องสงสัย 2 คน ในภาพวงจรปิด เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบอยู่
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ภายหลังเกิดเหตุระเบิดหลายจุดได้มีการสนธิกำลังตำรวจ-ทหาร ตั้งด่านสกัดหลายจุดทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล
โดยเฉพาะบริเวณจุดเกิดเหตุ จนทำให้ตำรวจสายตรวจ สน.สำราญราษฎร์ ได้ตรวจพบรถปิกอัพ โตโยต้าวีโก้ สีบรอนด์ ทะเบียน ตศ 9818 กท. ถูกนำมาจอดไว้ในซอยแพร่งสรรพศาสตร์ ห่างจากกระทรวงกลาโหมไม่ไกลเท่าไรนัก ภายในรถที่พื้นด้านแค๊ป พบเครื่องยิงจรวด อาร์พีจี 1 กระบอก, อาวุธปืนกล ขนาด .45 พร้อมกระสุน 54 นัด และระเบิดสังหารแบบ เอ็ม67 (ลูกเกลี้ยง) 3 ลูก ทั้งหมดพร้อมใช้งาน
นอกจากนี้ยังพบว่ากระจกด้านแค็ปหลุดออกมาคล้ายถูกแรงอัดเพราะบริเวณผนังประตูด้านในมีรอยฉีกขาด ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่พฐ.กำลังเร่งตรวจสอบขยายผลหลักฐานทั้งอาวุธและทะเบียนรถยนต์ ส่วนคนร้ายคาดว่าฉวยโอกาสจอดรถหลบหนีเพราะรู้ว่ามีด่านตรวจจำนวนมากหลังเกิดระเบิด
แฉภาพผู้ต้องสงสัย ลึกลับยิงถล่มกลาโหม
ที่ สน.สำราญราษฎร์ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผบ.ตร.
พร้อมด้วยพล.ต.ท. วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วย ผบ.ตร. เดินทางเข้าร่วมประชุมกับ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยานนท์ ผบช.น.,พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รองผบช.น. พล.ต.ต.วิทยา รัตนวิชช์ ผบก.น.6 พ.ต.อ.สมาน รอดกำเหนิด ผกก.สน.สำราญราษฎร์ และพ.ต.อ.วรชิต กาญจนะเสน ผกก.งานเก็บกู้วัตถุระเบิดบก.ตปพ.เพื่อประชุมติดตามความคืบหน้าคดี รวมทั้งยังร่วมกันตรวจสอบข้อมูลของรถปิกอัพเพื่อขยายผลติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุอุกอาจครั้งนี้
พล.ต.อ.ปทีป เปิดเผยว่า ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสรุปเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในแง่ของการดำเนินการหลังเกิดหตุจนถึงเวลานี้ตอบได้ว่า ตำรวจได้ตีวงแคบเข้ามาพอสมควรแล้วแต่ยังให้ข่าวใดๆเกี่ยวกับกลุ่มคนร้ายไม่ได้ เนื่องจากอาจไปกระทบกับแนวทางการสืบสวนสอบสวน ส่วนรถยนต์ต้องสงสัยขณะนี้ตรวจสอบแล้วว่า ป้ายทะเบียน“ตศ 9818 กทม.”นั้นเป็นของปลอม แต่เรากำลังตรวจเช็คเลขเครื่องเพื่อหาตัวเจ้าของรถอยู่ สำหรับของกลางที่ตำรวจยึดได้ภายในรถคือเครื่องยิงจรวด อาร์พีจี 7 พร้อมปลอกกระสุนอาร์พีจี 7ที่ยิงแล้ว, ปืนกลมือทอมสัน เอ็ม 3 จำนวน 1 กระบอก ลูกกระสุนปืนขนาด .45 จำนวน 20 นัด และระเบิดมือเอ็ม 67 จำนวน 3 ลูก สำหรับกรณีที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าคนร้ายน่าจะได้รับบาดเจ็บด้วยนั้น จากการตรวจสอบตามโรงพยาบาลในละแวกใกล้เคียงแล้วไม่พบว่ามีบุคคลต้องสงสัยรายใดเข้าไปรับการรักษาตัว
รักษาราชการแทน ผบ.ตร. กล่าวต่อว่า เท่าที่ดูทิศทางการยิงเชื่อว่าคนร้ายพุ่งเป้าไปที่อาคารของกระทรวงกลาโหมอย่างแน่นอน
แต่จะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปาระเบิดที่ทำการ ป.ป.ช.จ.นนทบุรี ในเวลาไล่เลี่ยกัน และเหตุการณ์คนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าไปในกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็ก รักษาพระองค์ก่อนหน้านี้หรือไม่ยังไม่ทราบ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็ได้กำชับมาว่าให้เร่งสืบสวนหาตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็ว จึงมอบหมายให้ พล.ต.ท.สัณฐาน ผบช.น.ควบคุมดูแลติดตามผลความคืบหน้าคดีนี้โดยเฉพาะ
“ขอยืนยันว่า ทางตำรวจยังไม่ได้สรุปว่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยหลังจากคืนนี้ไปคงจะมีการเพิ่มกำลังตำรวจ-ทหาร และเทศกิจมาประจำจุดตรวจให้มากยิ่งขึ้น”
จากนั้นพล.ต.อ.ปทีป พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กลุ่มงานเก็บกู้ฯ ได้ร่วมกันตรวจสอบรถปิกอัพของกลาง
โดยมีพ.ต.ท.กำธร อุ่ยเจริญ รอง ผกก.กลุ่มงานเก็บกู้ฯ นำเอาเครื่องยิงจรวด”อาร์พีจี7” ซึ่งเป็นของกลางคดีเก่า แต่เป็นชนิดเดียวกันกับที่ยึดได้ภายในรถมาจำลองสถานการณ์ หลังทดสอบมีการสันนิษฐานว่าคนร้ายน่าจะมี 2 คน ขับนำรถไปจอดริมฟุตบาทบริเวณด้านข้างร้านชุบพรชัย ในซอยแพร่งภูธร ในลักษณะหันหัวเข้าไปในซอย ก่อนที่คนนั่งข้างกันจะเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินไปที่ท้ายรถ ส่วนความเสียหายของประตูและกระจกฝั่งซ้ายน่าจะเกิดจากระหว่างยิงได้เปิดประตูเอาไว้แล้วไปนั่งยิงด้านท้ายรถ แรงอัดท้ายเครื่องยิงจรวดซึ่งมีความแรงถึง 30 เมตรจึงไปปะทะประตูจนทำให้กระจกแตก นอกจากนี้คนร้ายน่าจะบาดเจ็บด้วยและกระสุนก็ยังพลาดเป้าไปติดสายไฟฟ้าปากซอยแพร่งภูธร ที่ระโยงระยางกันอยู่จำนวนมาก
สำหรับเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี 7 (R.P.G. 7 – Rocket Portable Grenade 7) เป็นอาวุธที่ผลิตในสหภาพโซเวียต ใช้หัวจรวดพีจี 7 ยิงใส่เป้าหมาย
โดยประเทศไทยมีประจำการในกองทัพทั้งในส่วนของทหารและตำรวจมานานกว่า 30 ปีแล้ว อาวุธชนิดนี้ส่วนใหญ่จะใช้ในการต่อต้านรถถังและรถหุ้มเกราะ เนื่องจากอำนาจของหัวจรวดสามารถทะลุทะลวงเกราะเหล็กได้หนา11- 13 นิ้ว มีระยะหวังผลที่ 500 เมตร ไกลสุด 1,000 เมตร และมีรัศมีการทำลายล้างในระยะ 50 ตารางเมตรโดยรอบ หากใช้ยิงจากเครื่องยิงแล้วจะไม่มีแรงรีคอยล์หรือแรงสะท้อนต่อตัวผู้ยิงเนื่องจากจะมีแรงอัดออกจากทางด้านหลังเครื่องยิงไปไกลถึง 30 เมตรทำมุมสะท้อน 80 องศา ที่สำคัญหากยิงไปแล้วหัวจรวดไม่กระทบเป้าหมายก็จะสามารถทำลายตัวเองได้ที่ระยะ 920 เมตร โดยสะเก็ดระเบิดจะกระจายไปทั่วในรัศมี30-50 เมตรโดยรอบเช่นกัน