กองปราบฯ รวบแล้วแก๊งอาฆ่าหลานกิ๊กผัว จับลูกเขยเจ้าของรถเมล์สายหนามแดง-สมุทรปราการ
หลังร่วมก่อเหตุ อ้างแค่พาไปพบผู้ตายเพื่อเจรจา ระหว่างทางผู้ตายกับแม่ยายทะเลาะกันตลอดทางเลยปล่อยให้ลงไปคุยกันตรงที่เกิดเหตุ จนมีการลงมือฆ่ากันในที่สุด ด้านอาสาวควงทนายดอดเข้ามอบตัวกับตร.กลางดึก ให้การปฏิเสธ ก่อนยื่นโฉนด 1.4 ล้านประกันตัวออกไป
จากกรณีพบศพน.ส.จันทิมา พวงเล็ก อายุ 19 ปี ถูกฆาตกรรมโหดทุบด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ที่ใบหน้าและศีรษะ อยู่กลางลานดินหลังหมู่บ้านบางปูนคร หมู่ 9 ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ส่วนฆาตกรโหดรายนี้คือ นางไพรัตน์ พุทธเกิด อายุ 45 ปี อาแท้ๆ ของผู้ตาย ร่วมกับญาติๆ อีก 3 คน โดยมีสาเหตุมาจากความหึงหวงที่สามีนางไพรัตน์ไปติดพันผู้ตาย จึงร่วมกันอุ้มหลานสาวมาจากห้องพักย่านงามวงศ์วานไปฆ่าทิ้งอย่างเหี้ยมโหด ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้า เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 5 มี.ค. ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.สานิตย์ มหถาวร พ.ต.อ.มนตรี ยิ้มแย้ม รองผบก.ป. ร่วมแถลงข่าวจับกุมนายสุทัศน์ พานทอง อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 190/45 ม.6 ต.แพรกษา อ.เมืองสมุทรปราการ ลูกเขยนางไพรัตน์ พุทธเกิด ผู้ต้องหา ซึ่งเป็นผู้บงการฆ่าน.ส.จันทิมา ถูกตำรวจกองปราบปราม นำโดย พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์กุล ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา รองผกก.ฯ พ.ต.ต.ศตยุ ไชยสุวรรณ์ สว.ฯ พร้อมกำลัง นำหมายจับศาล จ.สมุทร ปราการ ที่ 155/1/2553 ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จับได้ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งบนถนนสายเอเชีย อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ก่อนจะควบคุมตัวมาสอบปากคำ
อาโหดมอบตัว ทุบฆ่าหึงหลาน
จากการสอบสวนนายสุทัศน์ ให้การว่า
ตนเป็นลูกเขยของนางไพรัตน์แต่อยู่คนละบ้าน โดยตนทำธุรกิจรถเมล์ท้องถิ่น สายหนามแดง-สมุทปราการ แต่สนิทสนมกับแม่ยาย จึงได้ทราบว่าที่บ้านเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง วันเกิดเหตุแม่ยายวานให้ช่วยขับรถให้พาไปหาผู้ตายที่บ้านพักย่านงามวงศ์วาน เพื่อตกลงปัญหารักสามเส้าที่เกิดเรื่องมาเกือบสองเดือนแล้ว หลังทราบว่าน.ส.จันทิมาหลบไปอยู่ที่นั่น จึงชวนญาติๆ ประกอบด้วย นายสำเริง พวงเล็ก อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 323/1 หมู่ 7 ต.บางปูใหม่ อ.เมือง สมุทรปราการ นางวาสนา พุกพันธ์ หรือเก๋ อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36/119 หมู่ 7 ต.บางเมือง อ.เมืองสมุทรปราการ ร่วมไปด้วย
นายสุทัศน์ กล่าวต่อว่า
เมื่อไปถึงเจอผู้ตายพักอยู่กับพี่สาว จึงชวนให้มาเจรจาเพื่อตกลงปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากนางไพรัตน์ออกตามหาตัวมานานแล้ว โดยจะพาไปคุยที่บ้านของแม่ยายที่ย่านสมุทรปราการ ระหว่างทางผู้ตายกับแม่ยายเกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง โดยได้ยินผู้ตายพูดจายั่วโทสะแม่ยายตลอดเวลา อีกทั้งยังไม่ยอมรับผิด โดยผู้ตายบอกว่า คอยดูนะถ้าเป็นแบบนี้จะหนีไปด้วยกัน จะเอาทรัพย์สินไปให้หมด งานนี้ถ้าไม่ตายก็รวย ยิ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับแม่ยายเป็นอย่างยิ่ง
"เมื่อรถวิ่งไปถึงจุดเกิดเหตุ เห็นว่าคงไปไม่ถึงบ้านแน่ เพราะมีการตบกันบนรถ จึงขับไปที่ตรงจุดพบศพเพื่อจอดให้ทั้งสองลงไปคุยกันเอง แต่คุยไม่ทันรู้เรื่องก็เกิดตบตีกันขึ้นอีก แม่ยายตัวใหญ่กว่าได้เปรียบจึงตบคนตายจนล้มลง แล้วได้หยิบก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่แถวๆ นั้น นำมาใช้ทุบเข้าไปที่ใบหน้าของผู้ตายหลายครั้งจนแน่นิ่งไป เมื่อรู้ว่าน.ส.จันทิมาเสียชีวิต ได้ย้อน กลับมาขึ้นรถ สั่งให้ขับพาไปส่งขึ้นรถที่ปั๊มน้ำมันใกล้ๆ กับจุดเกิดเหตุ แล้วให้แยกย้ายกันหลบหนี ด้วยความกลัวจึงขับหลบหนีไปพักอยู่ที่บ้านญาติใน จ.ลพบุรี กระทั่งมาถูกจับกุมได้ และเรื่องที่เกิดขึ้นไม่คิดว่ามันจะบานปลาย ส่วนแม่ยายและญาติๆ คนอื่นไม่ทราบว่าหลบหนีไปไหนกันบ้าง" นายสุทัศน์ กล่าว
วันเดียวกัน พ.ต.อ.ศิริชัย ครูประเสริฐวัฒนา ผกก.สภ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ สั่งการให้ พ.ต.ท.ธวัธชัย แจ่มนุราช รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.ประเสริฐ บัวขาว สว.สส. นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนเข้าตรวจค้นที่บ้านเลขที่ 25 หมู่ 3 ต.บ้านใหม่สามัคคี อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี หลังสืบทราบว่า
ผู้ต้องหาได้พากันหลบหนีมาหลบซ่อนที่บ้านดังกล่าว ปรากฏว่าผู้ต้องหาทั้ง 4 คนไหวตัวหลบหนีไปก่อน ทิ้งไว้เพียงรถยนต์กระบะ 4 ประตู ยี่ห้อฟอร์ด สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ษร 8049 กทม. ซึ่งเป็นยานพาหนะในการก่อเหตุจอดทิ้งไว้ในไร่มันสำปะหลังข้างบ้านหลังดังกล่าว จึงยึดไว้ตรวจสอบ
จากการสอบสวนนางโฉมยา และนายประเชิญ คุ้มกัน สองสามีภรรยาเจ้าของบ้านให้การว่า เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา นายสุทัศน์ ได้พานางไพรัตน์ นายสำเริง และนางเก๋ มาพักที่บ้านหลังนี้โดยขับรถกระบะคันดังกล่าวมาจอดทิ้งไว้ ก่อนจะพากันแยกย้ายหลบหนีไปกบดานที่บ้านญาติใน จ.สุโขทัย
ด้านพ.ต.อ.ศิริชัย กล่าวว่า
เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา ทนายความได้พานางไพรัตน์ พุทธเกิด ผู้ต้องหาเดินทางเข้ารับทราบข้อหาร่วมฆ่าผู้อื่นโดยมีการไตร่ตรองไว้ก่อน ที่สำนักงานตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ ชั้นการสอบสวนนางไพรัตน์ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอให้การในชั้นศาล หลังจากนั้นได้นำโฉนดที่ดินย่าน จ.สมุทรปราการ มูลค่า 1.4 ล้านบาท ยื่นขอประกันตัวไป