นักโทษเสี่ยวิ่งหนีทั้งตรวน ขึ้นรถจยย.ที่มีคน มาจอดรับหลบหนีไปขณะออกจากศาลจังหวัดอุดรธานี ตร.ระดมกำลังตามล่าทั้งคืน กระทั่งจับตัวได้ขณะกำลังเผ่นออกไปประเทศเพื่อนบ้าน
สารภาพสิ้นวางแผนแหกศาลมานานแล้ว จ้างคนขี่จยย.มาจอดรอหน้าศาล ฉวยโอกาสตร.เผลอวิ่งหนีไปดื้อๆ ทั้งตรวน ขึ้นจยย.แล้วไปเปลี่ยนเป็นปิกอัพขับหนี ตร.ค้นเจอหลักฐานจดหมายเขียนถึงแฟนสาววางแผนหลบหนี ให้หารถปิกอัพมาจอดรอ แฉประวัติเป็นเด็กรับรถ แต่รู้จักนักธุรกิจ-นายตำรวจ ไต่เต้าจนเป็นเศรษฐี เป็นนายหน้าส่งแรง งานไปเมืองนอก ก่อนลงทุนสร้างโรงแรมใหญ่ สุดท้ายขาดสภาพคล่องเป็นหนี้เป็นสินโดนคดีฉ้อโกง ศาลสั่งจำคุก 9 ปี
นักโทษเสี่ย วิ่งหนีศาลทั้งตรวน
อดีตเสี่ยจัดส่งแรงงานไปนอก ซึ่งต้องโทษคดีฉ้อโกง และนายมานิตย์ หิริโกกุล
ฉวยโอกาศหลบหนีภายหลังถูกควบคุมตัวมาขึ้นศาล เมื่อวันที่ 20 ก.พ.
เมื่อวันที่ 20 ก.พ. พล.ต.ต.เดชา ชวยบุญชุม ผบก.ภ.จว.อุดรธานี พร้อมด้วยพ.ต.อ.ยรรยง เวชโอสถ ผกก.สส.1 ศูนย์สืบสวนภาค 4
พ.ต.ท.ณัฐนนท์ ประชุม รองผกก.สส.1 และ พ.ต.ท.กริช ปัตลา รองผกก.ป.สภ.เมือง จ.อุดรธานี ร่วมแถลงจับกุมนายกิตติศักดิ์ ทรัพย์ปรีชานนท์ หรือวิชาญ โง่นคำ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 88/8 หมู่ 7 ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี และนาย มานิตย์ หิริโกกุล อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14 หมู่ 6 บ้านดอนหาด ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานี พร้อมด้วยของกลาง โซ่ตรวนและเชือกผ้าสีแดง โซ่ตรวนคล้องขา รถกระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไฮลักซ์วีโก้ สีบรอนซ์ ทะเบียน บย 6192 อุดรธานี รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อซูซูกิ รุ่นสเต็ป สีขาวดำ ไม่ติดป้ายทะเบียน จดหมายวางแผนการแหกคุก และแผนที่หลบหนีจำนวน 3 ฉบับ โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง ใบเลื่อยตัดเหล็กหักครึ่ง เอกสารคู่มือทะเบียนรถยนต์ และทะเบียนบ้านของผู้ต้องหา
สำหรับการจับกุมดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางอุดรธานีควบคุมตัวนายกิตติศักดิ์ นักโทษชายในคดีฉ้อโกงประชาชน ซึ่งถูกตัดสินไปแล้ว 3 คดี รวมต้องโทษจำคุก 9 ปี มายังศาลจังหวัด
เพื่อพิจารณาคดีและไกล่เกลี่ยกับผู้เสียหาย ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่เรือนจำคุมตัวนักโทษและผู้ต้องหาทั้งหมดมาเข้าแถว เพื่อขึ้นรถควบคุมกลับเรือนจำ ปรากฏว่านายกิตติศักดิ์ฉวยโอกาสวิ่งหลบหนีไปทั้งโซ่ตรวน ไปขึ้นรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ สีขาวดำ ไม่ติดทะเบียน ที่มีนายมานิตย์ ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ ซึ่งอยู่ระหว่างการประกันตัว จอดรออยู่ ก่อนพากันหลบหนีไปถึงรถกระบะที่แฟนสาวของนายกิตติศักดิ์จัดหามาให้ โดยจอดเสียบกุญแจไว้ที่กลางซอยเบญจรงค์ 1 ห่างจากศาลากลางจังหวัดอุดรธานี 500 เมตร และพากันหลบหนีไป
ต่อมา พล.ต.ท.สันติ เพ็ญสูตร ผบช.ภาค 4 สั่งการให้ พล.ต.ต.จตุพล ปานรักษา ผบก. สส.ภาค 4 และพ.ต.อ.ยรรยง นำกำลังเข้าเสริมตำรวจท้องที่เพื่อติดตามจับกุมตัว กระทั่งเวลา 05.30 น. วันเดียวกันนี้ ชุดสืบสวนของพ.ต.อ. ยรรยง ติดตามไปถึงถนนบ้านนาทราย ต.บ้านเลื่อม อ.เมือง จ.อุดรธานี พบรถต้องสงสัยขับออกจากวัดบ้านบ่อน้ำ มุ่งหน้าไปทางบ้านนาทรายด้วยความเร็วสูง จึงสกัดและจับกุมตัวนายกิตติศักดิ์ได้ ก่อนจะติดตามจับกุมตัวนายมานิตย์ คนขับขี่จักรยานยนต์ได้ที่บ้านพัก
พ.ต.อ.ยรรยง กล่าวว่า หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า รถกระบะที่นายกิตติศักดิ์ใช้หลบหนีเป็นรถที่ใช้งานอยู่ในโรงแรมกรุง เทพฯ วีไอพี จ.อุดรธานี
ที่นายกิตติศักดิ์เป็นเจ้าของ จึงเข้าตรวจค้นพบหลักฐานสำคัญ เป็นจดหมาย 3 ฉบับ ที่นายกิตติศักดิ์เขียนถึงแฟนสาว เล่าเรื่องการวางแผนแหกคุก และแผนที่หลบหนีอย่างละเอียด โดยก่อนหน้านี้นายกิตติศักดิ์มีโอกาสพบกับนายมานิตย์ ที่ถูกจับกุมในข้อหาลักทรัพย์ แต่ยังไม่ถูกตัดสินคดี จึงว่าจ้างให้นายมานิตย์เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์มารับที่ศาลจังหวัดอุดรธานี เป็นเงิน 35,000 บาท หากหลบหนีไปได้จะให้เงินอีก 100,000 บาท
ผกก.สส.1 ศูนย์สืบสวนภาค 4 กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนในเบื้องต้น นายกิตติศักดิ์ให้ การรับสารภาพว่า หลังหลบหนีออกจากศาลจังหวัดอุดรธานีแล้ว ไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ตลาดนัดเซ็นเตอร์พ้อยต์ แล้วก็ไปกบดานนอนอยู่ในรถกระบะ ที่จอดอยู่ภายในวัดบ้านบ่อน้ำ เพื่อเตรียมตัวหลบหนีไปกบดานต่อในประเทศเพื่อนบ้าน จนกว่าจะเคลียร์คดีหมด แต่ก็มาถูกจับกุมตัวได้เสียก่อน
ด้านพล.ต.ต.เดชา กล่าวว่า หลังเกิดเหตุนักโทษหลบหนีการควบคุมในศาลจังหวัดอุดรธานี ก็สั่งการให้ชุดสายตรวจ ชุดสืบสวนออกไล่ล่า
ร่วมกับชุดสืบสวนภาค 4 กระทั่งได้ตัวครบทั้ง 2 ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาการณ์ประจำศาลจังหวัดอุดรธานี มีทั้งหมด 11 นาย ในวันเกิดเหตุมี ด.ต.ทรงกิต สงฆ์กา และ ด.ต.ภาสกร ศรีพวง ประจำการอยู่ จึงสั่งการให้เขียนรายงานชี้แจงด่วนแล้ว หากพบว่าบกพร่องในหน้าที่ ก็จะดำเนินการไปตามความผิด
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับนายกิตติศักดิ์ เป็นเจ้าของโรงแรมกรุงเทพฯ วีไอพี และเจ้าพ่อวงการจัดส่งแรงงานไปต่างประเทศ
เคยเป็นเด็กรับฝากรถหน้าร้านข้าวต้ม และเริ่มรู้จักกับนักธุรกิจหลายคน รวมทั้งนายตำรวจระดับสูง จนไต่เต้าขึ้นมาเป็นนายหน้าจัดหางานไปทำงานต่างประเทศ ทั้งที่บรูไน เกาหลีใต้ และอีกหลายๆ ประเทศ จนสร้างฐานะร่ำรวยในช่วงเวลาไม่กี่ปี แต่ระหว่างนั้นก็ถูกแจ้งความจับอยู่เรื่อยๆ กระทั่งขยายกิจการสร้างโรงแรมกรุงเทพฯ วีไอพีขึ้นในวงเงินหลายสิบล้านบาท จนเป็นเหตุให้ขาดสภาพคล่อง คนงานทยอยแจ้งความดำเนินคดีรวมกว่า 30 คดี ถูกตัดสินไปแล้ว 3 คดี จำคุกคดีละ 3 ปี รวม 9 ปี เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2551 รวมติดคุกมาแล้ว 1 ปี 6 เดือน 5 วัน ยังคงเหลืออีกกว่า 20 คดีที่ยังไม่ได้ตัดสิน โดยอยู่ในระหว่างการไกล่เกลี่ยชดใช้ค่าเสียหาย