เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 14 ธ.ค. พ.ต.อ.เสถียร ตัณฑะกูล ผกก.สน.ยานนาวา
แถลงข่าวจับกุม นายจอมภพ โสภณสิริรัตน์ หรือนายชานนท์ โสภณสิริ หรือนายภูผา นิราศรพ หรือนายอภิลาภ นิราศรพ หรือนายนักรบ พิราศรพ หรือ นายภูผา ศิริพิน อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2998/ม.77 แขวงและเขตสวนหลวง กทม. ผู้ต้องหาตาม หมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.1082/2551 ลงวันที่ 28 พ.ย.51 ข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถาน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ พร้อมของกลาง ธนบัตรสกุลไทยและต่างประเทศจำนวนหนึ่ง พระเครื่อง และทรัพย์สินมีค่าอีกหลายรายการ บัตรผู้สื่อข่าวพิเศษนิตยสารจักรวาลตำรวจ และไขควงที่ใช้ก่อเหตุ โดยจับกุมได้ที่วัดนวลจันทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม.
พ.ต.อ.เสถียร เปิดเผยว่า สืบเนื่องมาจากวันที่ 23 ก.ค. 2551 ผู้ ต้องหาได้เข้าไปลักทรัพย์ภายในบ้านเลขที่ 287 ถ.ศรีเวียง แขวงสีลม เขตบางรัก กทม.
ชุดสืบ สวน สืบทราบว่าคนร้ายคือนาย จอมภพ ซึ่งเคยถูกจับกุมในคดีลักทรัย์ในลักษณะเดียวกัน เมื่อปี 2544 และได้พ้นโทษออกมาเมื่อปี 2550 หลังพ้นโทษออกมา ก็ได้ออกตระเวนลักทรัพย์อีกหลายครั้ง ได้ทรัพย์สินทั้งหมด 46 ล้านบาท หลังก่อเหตุผู้ต้องหาได้เปลี่ยนชื่อถึง 6 ชื่อ เพื่อหลบหนีการจับกุม หลังจากชุดสืบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานและศาลได้ออกหมายจับกุมก็ได้เข้าจับกุมผู้ต้องหาไว้ได้ และเข้าตรวจค้นภายในบ้านพักของผู้ต้องหาพบของกลางหลายรายการ และพบรถยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้าแจ๊ส สีน้ำเงิน ทะเบียน ฌภ 7591 กรุงเทพมหานคร รถจยย.ยี่ห้อฮอนด้า คลิก สีฟ้าขาว ทะเบียน วทค 757 กทม. จอดอยู่ในบ้านพัก ผู้ต้องหาอ้างว่ารถจยย.เป็นรถที่ใช้ก่อเหตุส่วนรถยนต์เป็นรถของพ่อ เจ้าหน้าที่จึงยึดเอาไว้ตรวจสอบ
จากการสอบสวนนายจอมภพ ให้การรับสารภาพว่า ได้ก่อเหตุลักทรัพย์ในลักษณะนี้มาแล้วประมาณ 100 ครั้ง
ทรัพย์สินที่ได้แต่ละครั้งตั้งแต่หลักหมื่น ถึงหลักล้าน การที่เข้าไปลักทรัพย์ไม่ได้มีการวางแผนหรือเลือกเหยื่อแต่อย่างใด จะใช้รถจักรยานยนต์ ขับตระเวนไปตามบ้าน เลือกดูที่มีคนอาศัยอยู่น้อย จากนั้นก็จะหยิบจดหมายที่อยู่หน้าบ้านมาทำการตรวจสอบ ข้อมูลว่ามีชื่อใครอยู่ในบ้านบ้าง เมื่อได้ชื่อมาก็จะเข้าไปในบ้านอ้างว่าเป็นช่างแอร์ คนที่มีชื่ออยู่ในบ้านใช้ให้มาซ่อมแอร์ ทำให้เหยื่อหลงเชื่อ ยอมให้เข้าไปในบ้าน เมื่อเข้าไปในบ้านก็จะหลอกให้ช่วยเฝ้าสะพานไฟ และกดสวิทซ์ไว้ให้ พยายามหาข้ออ้างให้เหยื่ออยู่กับที่ จากนั้นอาศัยจังหวะไปรื้อค้นทรัพย์สิน เงินสด รวมทั้งของมีค่าอื่นๆ ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก กว่าเหยื่อจะรู้ตัวตนเองก็เดินลอยนวลจากบ้านไปแล้ว เมื่อได้ทรัพย์สินมาก็จะนำไปขาย ส่วนหนึ่งนำไปเป็นค่ารักษาพ่อ ที่ป่วยโรคมะเร็ง อีกส่วนหนึ่งไปเล่นการพนันบาคาร่าที่กัมพูชา เมื่อเล่นการพนันหมดก็จะกลับมาก่อเหตุอีก และยังให้การว่าหลังจากที่พ่อเสียชีวิตก็ไม่ได้ก่อเหตุอีกเลย และมาถูกจับกุมขณะที่กำลังไปเก็บกระดูกพ่อที่วัดนวลจันทร์เพื่อไปลอยอังคาร ส่วนบัตรผู้สื่อข่าวนั้นมีเพื่อนชื่อแดง อยู่นิตยสารจักรวาลตำรวจ เป็นผู้ทำให้แต่ไม่เคยใช้ในการก่อเหตุ