ครอบครัวบ้านพิลึกผวาหนัก ล็อกกุญแจปิดบ้านหอบลูกย้ายไปอยู่บ้านญาติที่ระยองชั่วคราว แต่หากยังมีไฟไหม้ไม่หยุด อาจต้องหนีไปอยู่ที่อื่นถาวร เผยไฟไหม้ตู้เสื้อผ้า ฟูกหมอนอีกรอบเมื่อ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา ผู้ช่วยผญบ.ส่งตำรวจบ้านตรวจทุกชั่วโมง หวั่นเกิดไหม้ซ้ำ ด้านนักวิชาการจุฬาฯ พร้อมช่วยเหลือ ส่งจนท.ตรวจสอบหาสาเหตุ
จากกรณีเกิดเหตุประหลาดภายในบ้านเลขที่ 167 บ้านหนองบัว หมู่ที่ 6 ต.ตะแบกบาน อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ของนางนิด รวมครบุรี อายุ 28 ปี
อาศัยอยู่กับครอบครัว ลูกและหลานสาว รวม 5 ชีวิต ตลอดทั้งเดือนพ.ย. มาจน ถึงวันที่ 6 ธ.ค. เกิดเหตุเพลิงลุกไหม้สิ่งของที่อยู่ภายในบ้าน โดยไม่เลือกชนิด มามากว่า 10 ครั้งในรอบเดือนเดียว สร้างความประหลาดใจและความหวาดผวาให้แก่ครอบครัว "รวมครบุรี" รวมถึงเพื่อนบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียงเป็นอย่างมาก ตามที่เสนอข่าวแล้วนั้น
ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 7 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านหลังดังกล่าวอีกครั้ง พบว่าบ้านถูกปิดล็อกกุญแจประตูอย่างแน่นหนา ไม่มีใครอยู่ในบ้าน
จากการตรวจสอบ พบมีการนำด้ายสายสิญจน์มาตรึงไว้รอบเขตบ้าน รวมทั้งรอบตัวบ้าน พร้อมกันนี้ยังพบว่าตามประตูและหน้าต่างมีการเจิมอักขระและติดผ้ายันต์ไว้ทุกบาน นอกจากนี้ ที่ศาลพระภูมิ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกอัญเชิญตั้งไว้ใต้ต้นไทรอายุหลายร้อยปี กลับถูกยกลง คล้ายเป็นการจัดเตรียมจะย้ายที่ตั้งศาลพระภูมิไปไว้ที่อื่น อีกทั้งบ้านเรือนของเพื่อนบ้านที่ตั้งอยู่ติดกับบ้านที่เกิดเหตุกว่า 10 ครัวเรือน พบว่าถูก ปิดล็อกและไม่มีใครอยู่ภายในบ้าน ทำให้บรรยา กาศของหมู่บ้านเงียบสงัด และสังเกตเห็นว่าแทบจะไม่มีชาวบ้านคนใดกล้าเข้าใกล้บ้านหลังนี้เลย
ด้านนางลือเลื่อง สอนศิลป์ อายุ 49 ปี เพื่อนบ้าน ซึ่งนางนิดวานให้ช่วยดูแลบ้านในช่วงที่ตนเองไม่อยู่
นำกุญแจบ้านที่นางนิดฝากไว้มาเปิดประตูบ้าน พร้อมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. วันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นอีกภายในตู้เสื้อผ้าท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์นับ 10 คน โดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้หลังดังกล่าวเสียหายทั้งหมด รวมถึงฟูกที่นอนที่ตั้งพิงตู้เสื้อผ้าเอาไว้ก็ถูกไฟไหม้เสียหายเล็กน้อย
"จากการตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบว่าเป็นตู้เสื้อผ้าไม้ที่ไม่มีการต่อสายไฟไว้แต่อย่างใด และมีที่นอนถูกนำมาวางไว้ติดกับซอกตู้ ก่อนหน้านี้สังเกตเห็นว่าที่นอนซึ่งตั้งอยู่ติดกับตู้เสื้อผ้าไม่มีรอยไหม้ แต่มาวันนี้พบว่าที่นอนซึ่งวางติดกับตู้เสื้อผ้าหลังดังกล่าวกลับมีรอยถูกเปลวเพลิงเผาเป็นรอยไหม้ลึกเข้าไปจนเห็นสปริง ภายในตู้เสื้อ ผ้ายังพบว่าร่องรอยการไหม้เกิดเพิ่มขึ้นจากที่สังเกตเห็นก่อนหน้านี้" นางลือเลื่องกล่าว
เผ่นแล้วบ้านอาถรรพ์ ส่งตร.คุม-หวั่นไหม้ซ้ำ
นางลือเลื่อง กล่าวต่อว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ ซ้ำขึ้นอีก นางนิดและครอบครัวบอกตนว่าจะพาลูกหลานคือ
ด.ช.พีรกร ยศพังเทียม อายุ 8 ขวบ ด.ญ.กัญญารัตน์ ยศพังเทียม อายุ 7 ขวบ และด.ช.ภูวนาถ รวมครบุรี หรือน้องกล้วย อายุ 6 ขวบ ไปอาศัยอยู่กับญาติที่ จ.ระยอง ประมาณ 1 สัปดาห์ โดยบอกว่าญาติที่อยู่ที่ระยองล้มป่วย โดยให้เด็กทั้ง 3 คน ลาโรงเรียนหยุดเรียน ชั่วคราว และจะเดินทางกลับมาวันที่ 12 ธ.ค. ทั้งหมดออกเดินทางเมื่อช่วงเย็นวันที่ 6 ธ.ค. โดยนางนิดนำคอมพิวเตอร์และของส่วนติดตัวไปด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเพลิงไหม้ขึ้นอีก และฝากให้ตนเป็นคนดูแลบ้านในช่วงที่ไม่อยู่บ้าน พร้อมบอกว่าหากเกิดเพลิงไหม้ขึ้นอีก จะไม่โทษใคร คงจะต้องปล่อยบ้านหลังนี้ทิ้งและย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะแก้ไขด้วยวิธีใด ทั้งนำพระสงฆ์มาสวดปัดรังควานหรือนำหมอผี ฤๅษีมาทำพิธีหลายครั้ง เหตุการณ์เพลิงไหม้ปริศนาก็ยังเกิดขึ้นไม่หยุด
ด้านนายแดนไพร พลครบุรี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหนองบัว หมู่ที่ 7 ต.ตะแบกบาน กล่าวว่า เหตุการณ์บ้านเพลิงไหม้ปริศนานี้เกิดขึ้นมากว่า 10 ครั้งแล้ว
และเข้าตรวจสอบพื้นที่ทุกครั้ง แต่ไม่พบสาเหตุที่เกิดเพลิงไหม้ หากลองสันนิษฐานว่าเหตุเพลิงไหม้น่าจะเกิดจากเหตุไฟฟ้าลัดวงจร ก็ไม่พบว่าระบบไฟฟ้าเกิดลัดวงจรในส่วนใด เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่าง รวมถึงสายไฟตามจุดต่างๆ เท่าที่ตรวจสอบดูก็อยู่ในสภาพที่ดี ไม่มีร่องรอยชำรุด รวมทั้งบางเหตุการณ์เกิดขึ้นตอนที่ไม่มีใครอยู่ในบ้านและมีการสับสวิตช์ไฟทั้งหมดเรียบร้อยแล้วก็ยังเกิดเหตุเพลิงไหม้ได้
นายแดนไพร กล่าวต่อว่า เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวให้แก่ครอบครัวผู้อยู่อาศัย รวมถึงเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง
ดังนั้น จึงอยากฝากให้หน่วยงานที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบหาสาเหตุข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน เพราะขณะนี้ชาวบ้านหนองบัวหมดหนทางที่จะแก้ไข ถึงแม้จะทำพิธีกรรมต่างๆ ตามความเชื่อด้านไสยศาสตร์ ก็ยังไม่เห็นว่าเหตุการณ์นี้จะยุติได้สักที ตอนนี้ตนในฐานะผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เพียงแต่จัดกำลังอาสาสมัครตำรวจบ้าน ผลัดเปลี่ยนกำลังออกตรวจตราบ้านหลังดังกล่าวทุก 1 ชั่วโมงในช่วงที่เจ้าของไม่อยู่บ้าน เนื่องจากเกรงว่าหากเกิดเพลิงไหม้ขึ้นอีก จะทำให้ลุกลามใหญ่โตจนสร้างความเสียหายให้บ้านทั้งหลังและบ้านเรือนใกล้เคียงได้
วันเดียวกัน ศ.ดร.สุพจน์ หารหนองบัว คณบดี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องมีอะไรที่เป็นเชื้อและมาเจอกับอุณหภูมิที่ร้อน
เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งอาจทำให้เกิดไฟลุกไหม้ได้ หรือหากในบ้านมีแสง แดดส่อง และมีกระจกสะท้อนกับแสงแดด ทำให้เกิดความร้อน อาจทำให้เกิดไฟลุกไหม้ได้เช่นกัน"หากมองด้านวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการเกิดเพลิงไหม้ดังกล่าวน่าจะมีสาเหตุ เพราะก่อนจะเกิดเพลิงไหม้ต้องมีสิ่งที่เป็นเชื้อไฟ และสิ่งที่จะทำให้เกิดเพลิง เช่น ไฟฟ้า แสงแดด หรือสิ่งที่ทำให้เกิดความร้อน อย่างกระจกหรือสารเคมีบางอย่าง เช่น ลูกเหม็น เมื่อถูกความร้อนนานๆ อาจมีสารบางอย่างระเหยออกมา หรืออาจมีแก๊สรั่วกระจายอยู่บ้าง ทำให้มีการสะสม เมื่อมาถูกกับสารบางอย่างจนอุณหภูมิถึงจุดๆ หนึ่ง จะทำให้เกิดไฟลุกไหม้ได้ อย่างไรก็ตาม ในทางวิทยาศาสตร์สามารถ สรุปได้ว่าการเกิดเหตุเพลิงไหม้ต้องมีสาเหตุและมีสิ่งที่ทำปฏิกิริยา ประกอบกับออกซิเจนที่ลอยอยู่ภายในบ้านมารวมกัน โดยปกติแล้วภายในบ้านจะมีออกซิเจนจึงทำให้เป็นสื่อ เพราะออกซิเจนจะเป็นตัวช่วยให้เกิดการสันดาปทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้" ศ.ดร.สุพจน์ กล่าว
ศ.ดร.สุพจน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สาเหตุอาจจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดการสันดาป กับอิเล็กตรอนและเกิดปฏิกิริยาว่องไวต่อแสง จึงจะทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้
อย่างเช่น หัวมันเทศ ซึ่งสามารถสะสมความร้อนจนทำให้เกิดไฟลุกไหม้ได้ ส่วนความเชื่อทางด้านไสยศาสตร์นั้น ควรจะใช้วิจารณญาณว่าควรเชื่อหรือไม่ แต่ในทางวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจะต้องมีสาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ อย่างไรก็ตาม หากจะเชิญผู้ที่มีความรู้เข้าร่วมพิสูจน์ร่องรอยการเกิดเพลิงไหม้จากสถานที่นั้นสามารถบอกตนได้ ตนจะติดต่อกับอาจารย์ที่มีความรู้ในเรื่องนี้โดยเฉพาะให้