ฎีกายืนประหารชลอคดีฆ่าศรีธนะขัณฑ์

คมชัดลึก :ศาลฎีกา พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ประหาร"ชลอ เกิดเทศ" จำเลยที่1 คดีอุ้มฆ่าแม่-ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์


ตามโจทก์ฟ้องสรุปว่าเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2537 ระบุความผิดสรุปว่า ระหว่างเช้าวันที่ 2 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2537 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 - 4

ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนหาเพชรและทรัพย์สินมีค่าของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อับดุลอาซิซ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ที่นายเกรียงไกร เตชะโม่ง อดีตคนงานไทยที่เข้าไปทำงาน ได้ลักเพชรและนำเข้ามาในประเทศไทย ได้สืบสวนแล้วเชื่อว่านายสันติ เจ้าของร้านเพชรชื่อดัง รู้ว่าเพชรอยู่ที่ใด แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ออกหมายเรียกตัวนายสันติมาสอบสวน แต่กลับร่วมกับจำเลยที่ 5 - 9 ลักพาตัว ภรรยาและบุตรชายของนายสันติไปจากบ้านพักย่านตลิ่งชัน และนำตัวไปกักขังไว้ที่บังกะโล “กวีวิลล่า” อ.สระแก้ว จ.ปราจีนบุรี แล้วใช้ของแข็งตีที่ศีรษะ และร่างกายของทั้งสองหลายแห่งจนถึงแก่ความตาย ก่อนจะลักทรัพย์สิน รวมมูลค่า 560,000 บาทไป จากนั้นนำร่างผู้ตายทิ้งไว้ในรถยนต์เบนซ์ของนางดาราวดี แล้วขับรถมาจอดทิ้งไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้านริมบึง ถ.มิตรภาพ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ให้รถบรรทุกขนาดใหญ่ชนเพื่ออำพรางคดีว่าถึงแก่ความตายเนื่องจากอุบัติเหตุเพื่อปกปิดความผิดของพวกจำเลยดังกล่าว


โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.45 ให้จำคุกตลอดชีวิต พล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ฯ

และให้จำคุกตลอดชีวิต จำเลยอีก 3 คนคือ พ.ต.ท.พันศักดิ์ จำเลยที่ 2 , นายนิคม จำเลยที่ 6 และนายสำราญ จำเลยที่ 7 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ ให้จำคุก จ.ส.ต.ยงค์ จำเลยที่ 3 เป็นเวลา 4 ปี ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ส่วนจำเลยที่ 4 ด.ต.สมนึก พิพากษายกฟ้อง สำหรับ นายวีระชัย จำเลยที่ 5 และนายสมหมาย จำเลยที่ 8 ให้จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ฐานร่วมกันสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ต่อมาโจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษ ขณะที่จำเลยที่ 1 , 2 , 6 และ 7 อุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้องเนื่องจากไม่ได้กระทำผิด จำเลยยื่นอุทธรณ์


ต่อมาวันที่ 3 มี.ค. 49 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแก้โดยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 , 2 , 6 และ 7 ฟังไม่ขึ้นเชื่อว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดจริงตามฟ้อง

โดยจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานเป็นตัวการสนับสนุนฆ่าผู้อื่นโดยเจตนและไต่ตรองไว้ก่อน ตาม ป.อาญา ม. 83 ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต และมีความผิดฐานเป็นตัวการสนับสนุนกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย


จึงพิพากษาแก้ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 สถานเดียว ส่วนจำเลยที่ 2 , 6 และ 7 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำคุกตลอดชีวิตฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ


ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาว่านางดาราวดี และ ด.ช.เสรี เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุมิใช่ฆาตกรรม ขณะที่อัยการและนายสันติโจทก์ร่วมไม่มีพยานเห็นจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยอื่นกักขังหน่วงเหนี่ยวและเรียกค่าไถ่ผุ้ตายทั้งสอง และคำให้การของ พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ จำเลยที่ 2 เป็นคำให้การซัดทอดไม่สามารถรับฟังได้ จึงขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง


ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ค.37 เวลา 08.00 น.

จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 5 - 8 ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายผู้ตายทั้งสอง ขณะขับรถยนต์ออกจากบ้านย่านตลิ่งชันไปกักขังที่ กวีวิลล่า จ.สระแก้ว แล้ว จำเลยที่ 2 , 6 และ 7 ได้ร่วมกันเรียกค่าไถ่จากโจทก์ร่วม ได้เงินไปจำนวน 2.5 ล้าน โดยเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2537 เวลา 02.00 น.ได้พบผู้ตายทั้งสองภายในรถยนต์ซึ่งถูกเฉี่ยวชนที่ถนนมิตรภาพ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่


ศาลเห็นว่าคดีนี้ โจทก์มีแพทย์ผู้ชันสูตรรวมทั้งผู้ที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุรถยนต์ของผู้ตายถูกชนและพยายามเข้าไปช่วย เบิกความไปในทำนองเดียวกันว่า สภาพรถยนต์ที่ถูกเชี่ยวชน

มีเพียงกันชนด้านหน้าขวาที่ถูกเชี่ยวชนจนห้อยลงมา เป็นอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย ส่วนภายในรถก็ไม่ได้เกิดความเสียหาย สภาพศพนางดาราวดี นั่งก้มหัวประชิดเข่า ส่วน ด.ช.เสรี สภาพนอนหงายที่เบาะซ้ายข้างคนขับ โดยไม่มีอวัยวะใดกระแทกกับรถ อีกทั้งตำแหน่งที่รถบรรทุกมาชนรถยนต์ของนางดาราวดีมาในทิศทางเดียวไม่ได้วิ่งสวนทาง ที่จะมีเรียกปะทะมากหากเกิดการเฉี่ยวชน จึงไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ผู้ตายทั้งสองเสียชีวิตได้ และจากผลการชันสูตรศพนางดาราวดี พบว่ามีบาดแผล 7 แห่ง ที่กระโหลกบวมช้ำ เลือดคลั่งในสมอง ผิวหนังฉีก ถลอกช้ำกระดูกหักหลายแห่งเช่นเดียวกับ ด.ช.เสรี ที่มีบาดแผล 3 แห่ง ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าทั้งสองเสียชีวิตเนื่องจากสมองบวมเฉียบพลัน ซึ่งไม่น่าจะเกิดจากอุบัติเหตุเล็กน้อยได้ ส่วนแผลทื่กกหูของนางดาราวดี คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ได้ทดลองนำผู้หญิงซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับนางดาราวดีไปนังที่เบาะคนขับ และให้พยายามนำศรีษะด้านขวาไปแตะที่แกนพวกมาลัยว่าจะทำให้เกิดบาดแผลได้หรือไม่ ปรากฎว่าหญิงสาวดังกล่าวไม่สามารถนำศรีษะเข้าไปใต้แกนพวงมาลัยได้ 
 
ดังนั้นที่จำเลยที่ 1 อ้างความเห็นของ พล.ต.ต.ทัศนะ สุวรรณจูฑะ อดีต ผบก.นิติเวชตำรวจ

เมื่อวันที่ 28 กันยายน 37 ว่าผู้ตายทั้งสองตายด้วยอุบัติเหตุไม่ใช่การฆาตกรรม และแผลที่กกหูเกิดจากอุบัติเหตุ จึงไม่อาจรับฟังได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีนำหนักมั่นคงแน่นหนารับฟังได้ว่า การเสียชีวิตของผู้ตายทั้งสองเกิดจากการฆาตกรรมด้วยของแข็งไม่มีคม โดยจำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันกระทำผิดตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย นอกจากนี้โจทก์ยังมีพยานหลักฐานซึ่งเป็นคำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนและรายงานการใช้โทรศัพท์มือถือของจำเลยที่ 1 และ 2 โดยจำเลยที่ 2 ให้การในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนติดตามหาเพชรที่หายไป โดยจำเลยที่ 1 ได้สั่งการให้จำเลยที่ 2 กับพวกซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามหาตัวนายสันติ โจทก์ร่วม แต่ไม่พบกระทั่งจำเลยที่ 1 ทราบข่าวของโจทก์ร่วมจึงให้จำเลยที่ 2 กับพวก ไปจับตัวผู้ตายทั้งสองมากักขัง และจำเลยทื่ 1 ยังสั่งให้จำเลยที่ 2 โทรศัพท์ไปเรียกค่าไถ่เพื่อเป็นการตบตาในการจับตัวผู้ตายทั้งสอง เพื่อให้โจทก์ร่วมออกมาเพื่อที่จะได้นำตัวไปซักถามเรื่องการซื้อขายเพชร แต่เมื่อไม่เป็นไปตามแผนและ จำเลยที่ 1 กลัวว่านายสันติ โจทก์ร่วมจะไปร้องเรียนกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รมว.มหาดไทย (ขณะนั้น) จึงสั่งให้จำเลยที่ 2 กับพวกฆ่าผู้ตายทั้งสอง และเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 37 เวลา 10.00 น.


จำเลยที่ 1 ได้โทรศัพท์มาสอบถามจำเลยที่ 2 ว่าเรียบร้อยหรือไม่ ซึ่งจำเลยที่ 2 ตอบว่าเรียบร้อย ซึ่งคำให้การของจำเลยที่ 2 เป็นการให้การเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับตน ไม่ได้เป็นการซัดทอดจำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยที่ 1 ยกฎีกาขึ้นมาอ้าง ศาลจึงนำคำให้การของจำเลยที่ 2 มารับฟังประกอบกับพยานแวดล้อมอื่นที่ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วข้างต้น มาลงโทษจำเลยที่ 1


ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า แม้จะได้รับแต่งตั้งให้ติดตามหาเพชร ซึ่งก็ได้ติดตามหาเพชรของกลางคืนแล้วบางส่วนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จากนั้นจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจสืบสวนสอบสวนหาเพชรอีก จึงไม่มีความผิดตาม ป.อาญา ม.157 ศาลฎีกาเห็นว่าในการปฎิบัติหน้าที่สืบสวนสอบสวนหาเพชร จำเลยที่ 1 ได้เคยทำหนังสือถึงอุปฑูตประเทศซาอุดิอาระเบีย ว่าจะติดตามหาเพชรบูลไดมอนด์ เพชรประจำตระกูลเจ้าชายไฟซาร์ล คืนมาให้ได้ภายใน 15 วัน หลังจากที่นำเพชรส่วนแรกคืนไปแล้ว จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 1 ยังคงติดตามหาเพชรอยู่ โดยสั่งการให้จำเลยที่ 2 กับพวกจับกุมตัวผู้ตายเพื่อหวังให้ได้ตัวโจทก์ร่วมมาซักถามเพื่อให้ได้ข้อมูลเรื่องเพชร ขณะที่นายสันติ โจทก์ร่วมก็เคยเบิกความว่า ก่อนที่ผู้ตายทั้งสองจะถูกจับตัวไป จำเลยที่ 1 เคยจับตัวโจทก์ร่วมไปซักถาม ซึ่งโจทก์ร่วมเคยบอกไปแล้วว่าได้ขายเพชรทั้งหมดไปแล้ว พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอที่จะลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยพิพากษายืน ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์