ถุงดำคลุมหัวรุมกระทืบนศ.วิศวะมทร.ปางตาย

"กระทืบจนเลือดคลั่งในสมอง"


พ่อแม่หวั่นคดีไม่คืบ บุกร้องผู้การเชียงใหม่ "จ่าบอย" ขาโหด ร่วมเจ้าของผับชื่อดัง ใช้ถุงดำคลุมหัว ก่อนสั่งเด็กรุมกระทืบลูกชายนักศึกษาวิศวะปี 1 มทร.ล้านนา แถมโทรเรียกเพื่อนมานั่งดูและสั่งน้ำอัดลมให้กิน จนเลือดคั่งในสมอง ขณะที่เจ้าของร้านเผ่นหนี หลังถูกออกหมายจับ

คดีถุงดำคลุมหัวรุมทำร้ายนักศึกษาปางตาย เปิดเผยเมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 6 กันยายน ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ นายวิสูตร พิกุลเคหา อายุ 47 ปี และนางโสภณ พิกุลเคหา อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 96 หมู่ 6 ต.บ้านกลาง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ สองสามีภรรยา พร้อมด้วยกลุ่มญาติร่วม 10 คน เข้าร้องเรียนต่อ พล.ต.ต.จิรุจจ์ พรหโมบล ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ กรณีนายอนุพร พิกุลเคหา อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตล้านนา (มทร.ล้านนา) ถูกตำรวจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส


"วัยรุ่นขว้างขวดเบียร์เข้าไปในร้าน"


นางโสภณ เล่าเหตุการณ์ว่า เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายอนุพร พร้อมกลุ่มเพื่อนได้ไปนั่งดื่มในร้านอาหารซียู ย่านกาดเชิงดอย ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ กระทั่งตกดึกกลุ่มเพื่อนมีเรื่องกับพนักงานในร้าน และหนึ่งในกลุ่มเพื่อนใช้ขวดขว้างเข้าไปในร้าน ก่อนวิ่งหลบหนี ขณะที่นายอนุพรไม่ทราบเรื่องจึงไม่ได้วิ่งหนี และถูกพนักงานของร้านจับตัวไว้ และรุมทำร้ายจนเขียวช้ำไปทั้งตัว ทั้งที่ไม่รู้เรื่อง ก่อนที่พนักงานในร้านจะปล่อยตัวให้กลับบ้าน

ต่อมาเมื่อกลางดึกวันที่ 8 สิงหาคม นายอนุพร พร้อมด้วยเพื่อนชายอีกคนหนึ่ง เข้าไปนั่งดื่มในร้านเดิม จนถึงเวลา 01.30 น. วันที่ 9 สิงหาคม พนักงานในร้าน พร้อมด้วยเจ้าของร้านชื่อ นายชุมพล เกียรติศิลป์ อายุ 42 ปี หรือเฮียอ้วน และนายพายัพ ขันทอง อายุ 37 ปี หุ้นส่วนของร้าน เข้ามาหาที่โต๊ะและขอดูบัตรประชาชนของเพื่อนนายอนุพร ก่อนขอเบอร์โทรศัพท์และยึดบัตรประชาชนไว้ จากนั้นไล่ให้เพื่อนนายอนุพรออกไปจากร้าน บอกว่าไม่เกี่ยวให้ออกไป พร้อมกันนั้นพนักงานในร้านพร้อมด้วยเจ้าของร้านและตำรวจ สภ.ต.ภูพิงคราชนิเวศน์ ทราบชื่อภายหลังว่า "จ่าบอย" ได้รุมทำร้ายนายอนุพรอย่างเมามันนานนับชั่วโมง


"ถุงดำคลุมหัวรุมซ้อม จนทนดูไม่ได้"


กระทั่งเวลาประมาณ 03.30 น.พนักงานในร้านโทรศัพท์ไปหาเพื่อนของนายอนุพร ให้มารับตัวกลับไป แต่เมื่อไปถึง จ่าบอยได้บอกกับเพื่อนว่ายังเคลียร์กันไม่จบ และสั่งให้พนักงานในร้านให้ใช้ถุงดำคลุมหัวและให้รุมซ้อมเหมือนในหนัง โดยขณะรุมซ้อมนั้นเพื่อนของลูกชายถูกบังคับให้นั่งดู โดยทางร้านนำน้ำอัดลมมาเสิร์ฟให้ แต่หลังจากทนดูนายอนุพรถูกซ้อมได้ไม่นาน เพื่อนจึงวิ่งหนีออกมาโทรศัพท์แจ้งตำรวจ โดยหน่วยกู้ชีพเวียงพิงค์นำตัวนายอนุพร ส่งโรงพยาบาลลานนา เวลา 04.10 น.

นางโสภณ กล่าวว่า หลังจากถึงโรงพยาบาลลานนา แพทย์โทรศัพท์แจ้งให้ทราบ เมื่อตนไปถึงพบลูกชายอยู่ในสภาพศีรษะบวม มีเลือดไหลออกทางปากและจมูกอยู่ตลอดเวลา แพทย์ระบุว่าต้องรีบเอกซเรย์สมอง แต่ตนได้ขอย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เนื่องจากติดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ต่อมาเวลา 09.00 น. วันที่ 9 สิงหาคม แพทย์โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ได้เอกซเรย์ พบว่ามีเลือดคั่งในสมองลึกมาก จนทำให้สมองบวม แพทย์นำตัวเข้าผ่าตัดในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน โดยหลังจากผ่าตัดลูกชายหมดสติอยู่ตลอดเวลาและต้องเจาะคอเพื่อช่วยในการหายใจ ล่าสุดแพทย์ระบุว่าสมองมีหนองออกมากและต้องผ่าตัดรอบที่สองในวันที่ 6 กันยายน


"ยันไม่ช่วยคนผิดเด็ดขาด"


อย่างไรก็ตาม ตอนแรกยังไม่รู้ว่ากลุ่มที่รุมทำร้ายลูกชายมีตำรวจรวมอยู่ด้วย แต่หลังจากแจ้งความ พี่สาวของนายชุมพลได้โทรศัพท์มาบอกกับตนว่านายชุมพลเจ้าของร้าน ไม่ได้เป็นคนรุมซ้อม แต่เป็นจ่าบอยและนายพายัพ เป็นคนสั่งการพนักงานทั้งหมด โดยหลังจากลูกชายผ่าตัดครั้งแรกในวันที่ 9 สิงหาคม ตนได้เข้าแจ้งความที่ สภ.ต.ภูพิงคราชนิเวศน์ แต่ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้ตำรวจยังไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ทั้งหมด โดยเฉพาะกับรายที่เป็นตำรวจจึงเกรงว่าอาจมีการช่วยเหลือกันภายในให้พ้นผิดได้ จึงเข้าร้องเรียนในครั้งนี้

พล.ต.ต.จิรุจจ์ กล่าวหลังรับเรื่องร้องเรียนว่า ได้เรียกสำนวนในคดีจากพ.ต.ท.สวัสดิ์ หล้ากาศ พนักงานสอบสวน เจ้าของคดีมาตรวจสอบแล้ว ในส่วนของผู้ต้องหารายอื่นไม่น่าจะมีปัญหา แต่ในส่วนที่ถูกระบุว่ามีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันในสำนวน แต่หากญาติหรือผู้เสียหายให้การได้และมีการยืนยันในสำนวนจะมีการสอบสวนไปตามกระบวนการ โดยยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลืออย่างเด็ดขาด และหากพบว่ามีความผิดจริง แม้ว่าเป็นตำรวจต้องถูกจับกุมดำเนินคดีทางอาญาและถูกลงโทษทางวินัยขั้นเด็ดขาดและจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย


"จับได้แล้ว พบ .22คู่มือ"


ด้าน พ.ต.ท.วรพล พลมณี รอง ผกก.สส.สภ.ต.ภูพิงคราชนิเวศน์ กล่าวว่า หลังได้รับแจ้งความได้เรียกประชุมพนักงานสอบสวนและสืบสวนกำชับให้ดำเนินการอย่างเป็นธรรม กระทั่งได้ออกหมายจับพนักงานในร้านจำนวน 2 ราย และจับกุมได้เป็นที่เรียบร้อยในข้อหาทำร้ายร่างกาย ส่วนนายพายัพ ตรวจสอบสอบพบว่าแท้จริงแล้วเป็นชาวสิงคโปร์ ชื่อนายอึ้ง เซงเยียบ และใช้บัตรประชาชนปลอม

โดยจากการเข้าตรวจค้นภายในร้านหลังวันเกิดเหตุ พบว่าพกอาวุธปืน ขนาด 22 มม. จึงจับกุมดำเนินดคีในข้อหาใช้บัตรประชาชนปลอม ทำร้ายร่างกายและพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนนายชุมพล เกียรติศิลป์ เจ้าของร้าน พนักงานสอบสวนได้ของอนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดเชียงใหม่ในข้อหาทำร้ายร่างกายแล้ว แต่อยู่ระหว่างการหลบหนี

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับจ่าบอย ซึ่งผู้ปกครองนายอนุพร ผู้เสียหายระบุว่าเป็นคนสั่งการและรุมทำร้ายลูกชาย เป็นตำรวจที่มารับจ้างคุมร้านดังกล่าวในช่วงนอกเวลางาน และขณะนี้ยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ขณะที่ตำรวจเพื่อนร่วมงานปฏิเสธที่จะให้ความเห็น


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์