เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 14 ก.ย. พ.ต.ท. วรุตม์ ไทยรัฐเทวินทร์ สารวัตรเวร สภ.เมือง จ.ปทุมธานี
รับแจ้งเหตุคนร้ายปล้นหม้อแปลงไฟฟ้าของบริษัท เค.มาสเตอร์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 9/9 ริมถนนสายปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว ต.บางปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.ธวัชชัย ยิ่งเจริญสุข ผกก. และพ.ต.ท.วรวุฒิ บันลือชัย สวป. นำกำลังรุดไปที่เกิดเหตุพบนายสำราญ มั่นจิต อายุ 51 ปี คนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงงานที่ถูกล็อก พร้อมทั้งแจ้งว่า นางทองหล่อ มั่นจิต อายุ 50 ปี ภรรยาเป็นแม่บ้านอยู่ภายในโรงงาน ถูกคนร้ายจับมัดมือขังอยู่ภายในอาคาร และโทรศัพท์ให้มาช่วย ก่อนจะแจ้งตำรวจให้มาช่วย
จากนั้นเจ้าหน้าที่ปีนเข้าไปภายในโรงงาน แต่ไม่พบวี่แววคนร้าย จึงไปตรวจสอบที่ห้องน้ำชาย พบนายสมาน แดงฉ่ำ อายุ 66 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 89/1 ถนนสายวัดโส ต.บางปรอก ถูกจับใส่กุญ แจมือล็อกติดกับคันโยกน้ำโถส้วม และนายธวัชชัย มะดัน อายุ 41 ปี ถูกจับใส่กุญแจมือไพล่หลังขังอยู่ในห้องน้ำเช่นกัน ทั้งคู่เป็นรปภ. เมื่อตรวจสอบภายในอาคาร พบนางทองหล่อ ถูกมัดด้วยสายโทรศัพท์ ก่อนจะช่วยทั้งหมดออกมา
ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในอาคารที่ส่องออกมายังประตู พบคนร้ายตัดสายต่อสัญญาณปิดกล้อง จึงไม่สามรถใช้การได้
และทราบต่อมาว่าขับรถบรรทุก 6 ล้อ เข้ามาถอดหม้อแปลงไฟฟ้า ขนาด 150 แรงม้า ที่ตั้งอยู่ด้านข้างโรงงาน โดยคนร้ายปลดฟิวส์ขนาดใหญ่ออกจากสายส่งทั้ง 3 ตัว แล้วยกหม้อแปลงขึ้นรถและนำผ้าใบคลุม ก่อนพากันหลบหนีไป จากการสอบสวนนายธวัชชัย ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุคนร้ายบุกเข้ามาใช้อาวุธปืนจี้ นางจตุพร เกิดการค้า อายุ 37 ปี ภรรยา ที่ขับรถเก๋งยี่ห้อ โตโยต้า รุ่นวีออส หมายเลขทะเบียน กง 6407 ปทุมธานี นำข้าวมาส่งให้ ขึ้นรถขับหลบหนีไป
ตะลึงปล้นหม้อแปลง-บุกรง.อาร์เอส
ส่วนนายสมาน ให้การว่า เข้าเวรตั้งแต่เวลา 18.00-06.00 น. ก่อนที่นายธวัชชัย จะเข้าต่อจนถึงเวลา 18.00 น.
และมีนางทองหล่อ เป็นแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน ซึ่งโรงงานแห่งนี้อยู่ในเครือของบริษัทอาร์เอส แต่หยุดกิจการไปปีกว่าแล้ว โดยบริษัทอาร์เอส ขายให้บริษัท ดิจิตอล จำกัด เป็นของเฮียม้อ อยู่ย่านบางแค กรุงเทพฯ ผลิตแผ่นซีดี แต่ก็ขาดทุนจึงหยุดกิจการมา 4 เดือนแล้ว โดยว่าจ้างให้พวกตน 3 คน คอยดูแลโรงงาน
นายสมานให้การต่อว่า ก่อนเกิดในเวลา 04.30 น. มีคนร้ายขับรถบรรทุก 6 ล้อ มาจอดหน้าประตู อ้างว่าจะมาทำงานแทนให้เปิดประตูด้วย จึงเปิดประตูให้
และถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้ จับใส่กุญแจมือขังไว้ในห้องน้ำ จากนั้นคนร้ายช่วยกันถอดหม้อแปลงไฟฟ้าภายในโรงงาน ใช้เวลาอยู่กว่าชั่วโมง ระหว่างนั้นนายธวัชชัย ให้ภรรยาขับรถมาส่งหน้าโรงงานเพื่อเข้าเวรต่อ คนร้ายที่เฝ้าประตูอยู่เปิดรับแล้วใช้ปืนจี้จับใส่กุญแจมือมาขังรวมกัน หลังจากนั้นคนร้ายยกหม้อแปลงขึ้นรถ ขณะกำลังจะขับออกไป นางจตุพรขับรถย้อนกลับมาอีกครั้ง เพื่อนำข้าวมาส่งให้ จึงถูกคนร้ายใช้ปืนจี้ บังคับขึ้นรถไปด้วย ขณะนี้ยังไม่ทราบชะตากรรม
ด้าน พ.ต.อ.ธวัชชัย กล่าวว่า ในเบื้องต้นให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์เข้าโทรศัพท์มือถือของนาง จตุพร แต่ไม่มีคนรับก่อนโทรศัพท์จะถูกปิด
ส่วนนางทองหล่อ ถูกคนร้ายขโมยกระเป๋าเงิน และโทรศัพท์มือถือไปด้วย และนายธวัชชัย ถูกคนร้ายปลดสร้อยกะลาตาเดียวพร้อมพระเลี่ยมทอง และโทรศัพท์มือถือ โดยคนร้ายมาด้วยกันทั้งหมด 5 คน แต่เป็นที่ผิดสังเกตว่าทำไมคนร้ายขโมยเฉพาะหม้อแปลงไฟฟ้าเท่านั้น น่าจะมีสาเหตุลึกไปกว่านั้น เนื่องจากโรงงานแห่งนี้ถูกขายกิจการมาแล้ว โดยบริษัทอาร์เอสขายให้บริษัทดิจิตอล
ผกก.สภ.เมืองปทุมธานี กล่าวว่า ต่อมาขาด ทุนจึงขายต่อให้ผู้อื่นอีกทอด และคงมีปัญหาเรื่องการเงินที่ยังชำระกันไม่หมด จึงมายกหม้อแปลงไฟฟ้าไป
เหมือนจะตัดไฟกับผู้ซื้อรายใหม่ที่ยังชำระเงินไม่หมด หรือเป็นใบสั่งคนร้ายที่ต้องการเอาหม้อแปลงไปจำหน่าย ดังนั้น จะต้องเรียกผู้ที่ขายโรงงาน และผู้ซื้อโรงงานมาสอบสวนถึงที่มาที่ไป เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย พ.ต.อ.ธวัชชัย กล่าวต่อว่า ส่วนนางจตุพร ที่ขับรถมาส่งข้าวให้สามีแล้วถูกคนร้ายจี้จับตัวไปพร้อมรถเก๋งนั้น ได้รับรายงานว่าคนร้ายปล่อยตัวแล้วที่ จ.นครนายก และขับรถกลับมาเองแล้ว โดยคนร้ายขโมยเงินจำนวนหนึ่งในลิ้นชักหน้ารถไป ส่วนหม้อแปลงที่ถูกปล้นไป ราคา 800,000 บาท สันนิษฐานว่าคนร้ายอาจเป็นแก๊งตระเวนขโมยยกหม้อแปลงไฟฟ้าตามโรงงานร้าง หรือโรงงานที่ปิดกิจการ เพื่อเอาขายเพราะมีราคาพอสมควร สั่งการให้สอบสวนรปภ.ทั้งหมด รวมทั้งนางจตุพรอย่างละเอียด เพื่อหาเบาะแสคนร้าย
ต่อมาเวลา 15.00 น. นางจตุพรขับรถกลับมาถึง ก่อนที่ พ.ต.อ.ธวัชชัย และพ.ต.ท.วรุมฒ์ ไทยรัฐเทวินทร์ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ร่วมสอบปากคำ
โดยนางจตุพรให้การว่า คนร้ายใช้ผ้าปิดหน้าปิดตา ให้นั่งที่เบาะหลัง ไม่ได้ทำร้ายร่างกาย คนร้ายขับรถไปเรื่อยๆ ไม่ทราบว่าไปทางไหนบ้าง ระหว่างทางคนร้ายไม่พูดอะไร แต่กำชับว่าห้ามร้องเรียกให้คนช่วย จนกระทั่งรถวิ่งมาจอดอยู่ข้างทาง ไม่ได้ดับเครื่องยนต์ คนร้ายลงจากรถไป จนกระทั่งไม่มีเสียงพูดคุยกันแล้ว จึงเปิดผ้าที่ปิดหน้าออก จำทางได้ว่าอยู่แถวโรงเรียนนายร้อยจปร. จ.นครนายก จึงได้ขับรถกลับมาที่โรงงาน แล้วมาให้ปากคำ
จากนั้น พ.ต.อ.นันทชาติ ศุภมงคล รอง ผบก.ปทุมธานี พานางจตุพรขึ้นรถเจ้าหน้าที่ มุ่งหน้าไปยังจุดที่คนร้ายนำรถไปจอดทิ้งไว้
เพื่อจะตรวจสอบหาหลักฐาน ใช้เป็นเบาะแสจับกุม คนร้าย โดย พ.ต.อ.นันทชาติ ระบุว่า ในเบื้องต้นจะต้องติดต่อเจ้าของโรงงานที่ซื้อขายกิจการกันมาสอบสวน เพื่อหาตัวคนร้าย และสาเหตุในการปล้นครั้งนี้