เมื่อ 14 ก.ย. ซีเอ็นเอ็นรายงานคดีที่อยู่ในความสนใจของชาวอเมริกันมาหลายวัน
หลังน.ส.แอนนี่ เล่อ นักศึกษาปริญญาเอก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล หายตัวไปอย่างลึกลับ 5 วัน ทั้งที่มีกำหนดจะเข้าพิธีแต่งงานในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กระทั่งเมื่อถึงกำหนดวันวิวาห์ ตำรวจค้นพบชิ้นส่วนศพที่คาดว่าเป็นหญิงสาว ฝังอยู่ในกำแพงห้องแล็บชั้นใต้ดินของอาคารวิจัยเวชภัณฑ์ ในมหาวิทยาลัยเยล เมืองนิวแฮฟเวน รัฐคอนเนกติกัต สถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของสหรัฐ โดยตึกที่พบศพเป็นสถานที่สุดท้ายที่มีผู้พบเห็นน.ส.เล่อ
ในที่เกิดเหตุ หน่วยสอบสวนพบเสื้อผ้าเปื้อนเลือดที่ใต้หลังคาอาคารของมหาวิทยาลัยเยล คาดว่าเป็นของฆาตกร ทำให้ตำรวจพอรู้ตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว จึงไม่มีปฏิบัติการล่าคนร้าย หรือการเตือนภัยในบริเวณใกล้เคียงแต่อย่างใด
น.ส.เล่อ นักศึกษาเชื้อสายจีน วัย 24 ปี มีกำหนดจะแต่งงานที่ผ่านมาที่นิวยอร์ก กับคู่หมั้นหนุ่ม โจนาธาน วิดอว์สกี้ บัณฑิตมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
โดยช่วงที่หายตัวไป เพื่อนๆ และสมาชิกในครอบครัวต่างให้การตรงกันว่า ไม่มีวี่แววที่หญิงสาวจะหนีการแต่งงานหรือหนีคู่หมั้น ไม่มีอาการวิตกกังวลใดๆ แม้ว่าจะเคยเขียนในบทความเมื่อปีก่อน ว่า วิตกกับสถานการณ์อาชญากรรมในเมืองนิวแฮฟเวน
เพื่อนนักศึกษากล่าวว่า น.ส.เล่อมาจากเมืองเพลเซอร์วิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นมิตรและเป็นที่รักของทุกคน ไม่คิดว่าจะมีใครทำอย่างนี้กับหญิงสาวได้
การพบศพครั้งนี้ยังทำให้เหล่านักศึกษาพากันหวาดกลัวกับความปลอดภัยในรั้วมหาวิทยาลัย จากเดิมที่เป็นสถานที่รู้สึกปลอดภัย นายริชาร์ด เลวิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเยล แถลงว่า ตำรวจพบศพเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เบื้องต้นสันนิษฐานว่าใช่ โดยภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพน.ส.เล่อ ขณะเดินเข้าตึกเอาไว้ได้เมื่อเวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น แต่ไม่พบภาพเดินออกจากตึกอีกเลย ทั้งที่มหาวิทยาลัยติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้กว่า 75 ตัว ทำให้มั่นใจว่า หญิงสาวอยู่ภายในเขตมหาวิทยาลัย จึงระดมตำรวจกว่า 100 นาย ค้นหาในทุกจุด กระทั่งพบศพในที่สุด