เมื่อ 7 ก.ย. เดลี่เมล์รายงานการไต่สวนคดีช็อกชาวอังกฤษ กรณีนางเรขา กุมารี เบเกอร์ วัย 41 ปี
พนักงานโรงแรมสังหารลูกสาววัยรุ่น 2 ราย อายุ 16 ปี และ 13 ปี อย่างเหี้ยมโหด โดยลงมือระหว่างที่ลูกหลับอยู่ จากนั้นจึงบอกเพื่อนคนหนึ่งว่า ตนเองได้ก่อเรื่องเลวร้ายขึ้น ในการไต่สวนของศาลที่เมืองเคมบริดจ์ อัยการจอห์น ฟาร์เมอร์ ให้รายละเอียดเหตุการณ์ต่อศาล ว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนมิ.ย.2550 ที่เมืองสเตร็ตแฮม นางกุมารี-เบเกอร์ จำเลย สังหารลูกสาว 2 คน คือ น.ส.ดาวิน่า วัย 16 ปี และด.ญ.จัสมิน วัย 13 ปี ด้วยมีดทำครัว ลูกสาวคนโตถูกแทงถึง 39 ครั้ง ส่วนลูกสาวคนเล็กตายด้วยบาดแผลเหวอะหวะเต็มตัว ขณะที่จำเลย หลังจากลงมือแล้วก็เปลี่ยนชุดจากชุดนอนเป็นชุดใส่ไปข้างนอก ขับรถออกไปนอกบ้าน 2 ครั้ง
แล้วโทรศัพท์หาเพื่อนคนหนึ่งชื่อ นาตาลี บาร์ฟอร์ด ทิ้งข้อความในเครื่องรับโทรศัพท์ว่า "ฉันทำเรื่องเลวร้ายขึ้น กรุณาโทร.หาฉันด้วย" จากนั้นนางกุมารีโทรศัพท์บอกกับบาร์ฟอร์ดอีกครั้งว่า "ฉันฆ่าลูก ลูกตายแล้ว" และว่า "ฉันใช้มีดทำครัวแทงพวกเด็กๆ มันเลวร้ายมาก ตอนนี้เด็กๆ ปลอดภัยแล้ว ไม่มีใครทำร้ายพวกแกได้อีก"
สำหรับต้นเหตุของการสังหารโหดครั้งนี้ อัยการกล่าวว่า มาจากที่นางกุมารี-เบเกอร์ทะเลาะเบาะแว้งกับสามี ชื่อนายเดวิด เบเกอร์ ในการแย่งชิงสิทธิ์ขอดูแลลูก
ซึ่งเป็นไปได้ว่า นางกุมารี-เบเกอร์ ต้องการแก้แค้นอย่างแสนสาหัสให้กับสามีด้วยการสังหารลูกสาว ด้านนางกุมารี เบเกอร์ ให้การปฏิเสธในข้อหาฆาตกรรมบุตรสาวทั้งสอง ทางทนายเตรียมหักล้างข้อกล่าวหาด้วยการให้ข้อมูลว่า หญิงรายนี้มีปัญหาทางจิตร้ายแรงในช่วงที่ลงมือกับลูก ซึ่งหากคณะลูกขุนรับฟัง จำเลยจะได้ลดข้อหาลงเหลือฆ่าโดยไม่เจตนา