ตร.บุกหมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาว ตรวจหานายหน้ารีดค่าหัวโชว์
"รีดหัวละ 500"
ตร.บุกตรวจหมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาวเชียงใหม่ หลังนายทุนบางราย ตั้งหมู่บ้านดึงโชว์นักท่องเที่ยว รีดเงินหัวละ 500 นายจ้างยันมีใบอนุญาตทำงานถูกต้อง ตำรวจเชื่อแอบแฝงหาผลประโยชน์จากท่องเที่ยวแต่ยังไร้หลักฐาน ขณะที่จัดหางาน-นายอำเภอแม่อาย โยนกลองกันวุ่น ชี้อาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 30 สิงหาคม พ.ต.อ.ชำนาญ รวดเร็ว รองผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พร้อมกำลังตำรวจจำนวนหนึ่งได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ ภายในหมู่บ้านแม่แมะ ต.แม่แรม อ.แม่ริม หลังมีข้อมูลว่าพื้นที่ดังกล่าวมีนายทุนบางราย นำกะเหรี่ยงคอยาวเข้ามาอยู่อาศัย ก่อนเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมโดยเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวรายละ 300-500 บาท
"เข้ามาทำงานถูกต้อง"
ตรวจสอบพบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการสร้างบ้านพักด้วยไม้ไผ่ตามแบบของชาวเขารวมประมาณ 10 หลัง แต่ละหลังมีชาวกะเหรี่ยงคอยาวอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน พบว่าได้ปรับพื้นที่ให้เป็นพื้นที่ปลูกข้าว โดยมีนายวิบูลย์ ชัยธรรม อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 563 หมู่ 1 ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ รับเป็นผู้เช่าที่ดิน และเป็นผู้ดูแลชาวกะเหรี่ยงคอยาวทั้งหมด 18 คน แบ่งเป็นหญิง 11 คน ชาย 2 คน และเด็กเล็กอีก 5 คน
นายวิบูลย์ กล่าวว่า กะเหรี่ยงคอยาวทั้งหมดได้เข้ามาทำงานอย่างถูกต้อง โดยเมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา นายธีระศักดิ์ พงษ์ธรประทาน หุ้นส่วนทางธุรกิจได้ขึ้นทะเบียน ทร.38 ไว้ที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ต่อมาสำนักงานจัดหางาน จ.เชียงใหม่ ได้ขึ้นทะเบียนออกใบอนุญาตทำงานประเภทเกษตรเพาะปลูกให้กับกะเหรี่ยงคอยาวอย่างถูกต้อง พร้อมให้กลุ่มกะเหรี่ยงดังกล่าวทำงานเพาะปลูกในสวนมะม่วงที่ อ.แม่อาย
"เหมาะสร้างโฮมสเตย์"
จากนั้นตนและนายธีระศักดิ์เห็นว่า พื้นที่ในหมู่บ้านแม่แมะ เหมาะสำหรับสร้างเป็นหมู่บ้านโฮมสเตย์และร้านอาหาร เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับชีวิตชนเผ่า จึงทำเรื่องไปยังสำนักงานจัดหางานจังหวัด เพื่อขอย้ายกะเหรี่ยงคอยาวกลุ่มนี้ตามนายจ้างไปยังสถานที่ประกอบการใหม่ใน อ.แม่ริม และได้ย้ายกะเหรี่ยงคอยาวกลุ่มนี้มาประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา โดยให้ปลูกข้าว สร้างที่อยู่อาศัยให้ใหม่ พร้อมทั้งจ่ายค่าแรงในการปลูกข้าวคนละ 135 บาทต่อวัน
นายวิบูลย์ ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ได้ทำแผ่นพับโฆษณาเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้เข้ามาชมวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงคอยาวที่บ้านแม่แมะจริง แต่ปรากฏว่าถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย จึงต้องสั่งเก็บแผ่นพับทั้งหมดและล้มเลิกความคิด โดยยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่มีธุรกิจโชว์กะเหรี่ยงคอยาวแอบแฝง เพียงแต่จ้างให้มาทำงานเหมือนบุคคลต่างด้าวทั่วไป แต่ยอมรับว่าพื้นที่ติดกันที่เป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าพื้นบ้านของกลุ่มอนุรักษ์วิถีชีวิตชนเผ่าเกษตรเชิงนิเวศของ อบต.แม่แรม มีการเก็บเงินจากนักท่องเที่ยว อาจมีนักท่องเที่ยวเดินผ่านเข้ามาชมวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงคอยาวในพื้นที่ของตนได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่เปิดซึ่งตนก็ไม่ได้ห้ามอะไร
"ตรวจสอบ หากพบหลักฐานทำผิด เตรียมจับแน่"
พ.ต.อ.ชำนาญ กล่าวว่า ก่อนเข้าตรวจสอบได้รับรายงานว่า พื้นที่ดังกล่าวมีการนำกะเหรี่ยงคอยาวเข้ามาจ้างงานทำการเกษตรบังหน้า แต่มีการแอบแฝงนำนักท่องเที่ยวเข้าชมโดยเรียกเก็บเงิน หากตรวจพบมีการจัดแสดงโชว์คนต่างด้าวหรือให้บุคคลต่างด้าวทำงานผิดไปจากที่ระบุไว้ในใบอนุญาต ทั้งนายจ้างจะมีความผิดฐานให้คนต่างด้าวทำงานผิดเงื่อนไขที่กำหนดในใบอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท ส่วนบุคคลต่างด้าวจะมีความผิดฐานฝ่าฝืนเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตให้ทำงาน โดยจะถูกปรับไม่เกิน 5,000 บาท และถูกส่งตัวให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเพื่อผลักดันกลับประเทศภูมิลำเนาต่อไป
พ.ต.อ.ชำนาญ กล่าวว่า การเข้าตรวจสอบครั้งนี้ นายวิบูลย์ได้นำเอกสารใบอนุญาตทำงานของบุคคลต่างด้าวมาแสดงอย่างถูกต้อง และยังไม่พบหลักฐานที่แสดงว่ามีการจัดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม จึงไม่สามารถดำเนินการอย่างใดได้ แต่หลังจากนี้จะต้องถูกจับตาอย่างใกล้ชิด หากมีหลักฐานว่ามีการเรียกเก็บเงินนักท่องเที่ยว เพื่อเข้าชมกะเหรี่ยงคอยาว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามจะเข้าจับกุมทันที
"ไม่มีการเรียกเก็บเงิน"
นายสมใจ เลวงดีพงษ์ เลขานุการนายก อบต.แม่แรม ชี้แจงว่า ศูนย์จำหน่ายสินค้าพื้นบ้านของกลุ่มอนุรักษ์วิถีชีวิตชนเผ่าเกษตรเชิงนิเวศของอบต.แม่แรม ไม่มีการเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวจะเสียเงินต่อเมื่อซื้อสินค้าหัตถกรรมเท่านั้น หากจะมีการเรียกเก็บเงินคงเป็นคนอื่นที่เรียกเก็บ
นางอรชร รัตนมณี หัวหน้าสำนักงานจัดหางาน จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า จะออกใบอนุญาตทำงานให้กับบุคคลต่างด้าวหรือบุคคลบนที่สูง ต่อเมื่อมีเอกสารรับรองจากอำเภอเจ้าของพื้นที่ กรณีดังกล่าวเป็นการอนุญาตอย่างถูกต้อง เพราะมีใบรับรองจากอำเภอ ซึ่งจะอนุญาตมากที่สุดครั้งละ 1 ปี ส่วนบุคคลบนที่สูงหรือคนต่างด้าว จะออกมาทำงานนอกพื้นที่ต้องขอใบอนุญาตออกนอกพื้นที่จากอำเภอด้วย
เมื่อสอบถามไปยังนายทรงทรัพย์ พิริยคุณธร นายอำเภอแม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ก่อนที่กะเหรี่ยงคอยาวกลุ่มนี้จะย้ายเข้ามาอยู่ในอ.แม่ริม กล่าวเพียงว่า อำเภอจะอนุญาตให้ออกนอกพื้นที่ชั่วคราว แต่หากอนุญาตให้ออกไม่มีกำหนดเวลา ก็เป็นเรื่องของสำนักงานจัดหางานจังหวัดที่จะพิจารณา
"หากหาประโยชน์จากความเป็นเอกลักษณ์อาจผิดละเมิดสิทธิมนุษยชนได้"
ขณะที่ ดร.ขวัญชีวัน บัวแดง นักวิจัยกลุ่มศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า กะเหรี่ยงคอยาวเป็นชนเผ่าถือสัญชาติพม่า การเข้ามาในราชอาณาจักรมีอยู่สองกรณี คือ หนีภัยการสู้รบ กลุ่มนี้จะอยู่ในสถานะผู้ลี้ภัย เช่น ใน จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งไม่สามารถออกนอกพื้นที่ได้และจะต้องอยู่ในสถานที่ที่จัดไว้ให้ ส่วนอีกกลุ่มคือ
เข้ามาตามช่องทางต่างๆ เช่นเดียวกับชาวพม่าทั่วไป ซึ่งกลุ่มนี้สามารถขอขึ้นทะเบียน ทร.38 และขออนุญาตทำงานได้เช่นเดียวกับบุคคลต่างด้าวทั้งสามสัญชาติ คือ พม่า ลาวและกัมพูชา ตามมติ ครม. ดังนั้นกะเหรี่ยงคอยาวที่อยู่ในกลุ่มนี้สามารถทำงานได้ทุกที่ และตามประเภทงานที่ระบุไว้ในเงื่อนไขใบอนุญาตทำงาน ในอนาคตอาจจะเห็นกะเหรี่ยงคอยาวรับจ้างล้างจานตามร้านอาหารทั่วไปก็ได้
รายงานข่างระบุด้วยว่า ประเด็นที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากความเป็นเอกลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยงคอยาว จนทำให้มีกลุ่มนายทุนหาประโยชน์จากการท่องเที่ยว อาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนได้
แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก