ผูกบึ้มติดกับตัว-ฆ่าวิศวกรเมืองเบียร์

ฆ่าปริศนาวิศวกรเมืองเบียร์ ถูกระเบิดร่างแหลกตายคาสวนยางใกล้เมืองพัทยา พบใช้ระเบิดมือชนิดเอ็ม 33

ผูกไว้กับลำตัวก่อนถอดสลักตูมร่างแยกเป็นชิ้นๆ พบเก๋งบีเอ็มฯจอดอยู่ใกล้ๆ จุดพบศพด้วย เมียชาวไทยรุดให้การระบุพักอยู่กรุงเทพฯ โดยสามีเป็นวิศวกรบริษัทเอกชน หายตัวจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อวาน จนไปแจ้งตร.ท้องที่ไว้แล้ว ระบุก่อนหน้านี้ 2-3 เดือน สามีมาเล่าว่ามีปัญหาเรื่องงานกับนักลงทุนต่างชาติ และกำลังเร่งเคลียร์กันอยู่ ตร.ยังไม่สรุปฆ่าตัวตายพิสดารหรือถูกฆาตกรรม ผู้การเมืองชลตั้งทีมออกหาเบาะแสเน้นแก๊งมาเฟียข้ามชาติ "จงรัก"โดดคุมคดีเรียกประชุมชุดสืบสวนทันที

วิศวกรหนุ่มชาวเยอรมันถูกระเบิดตายปริศนา เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 21 ส.ค. พ.ต.ท.สมัย สมจิตต์ สารวัตรเวรสภ.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

รับแจ้งว่ามีชาวต่างชาติเสียชีวิตบริเวณป่ายางพารา ม.6 ต.โป่ง อ.บางละมุง จึงรายงาน ผู้บังคับบัญชาพร้อมด้วยพล.ต.ต.นิวัฒน์ วัฒนาธรรมวัฒน์ รอง ผบช.ภาค2, พล.ต.ต.บัณฑิต คุณจักร์ ผบก.ภ.ชลบุรี, พ.ต.ท.ประกอบ แสงพริ้ง สารวัตรใหญ่ สภ.ห้วยใหญ่ กองวิทยาการเขต 2 แพทย์เวร ร.พ.บางละมุง และ หน่วยกู้ภัยสว่างบริบูรณ์เมืองพัทยารุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุอยู่ในสวนยางพารา มีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ ห่างจากถนนสาย 331 (โคราช-สัตหีบ) ประมาณ 10 ก.ม. โดยมีนายวิสูตร สุขเกษม อายุ 52 ปี คนตัดยาง เป็นผู้นำทาง

กลางสวนยาง ชิ้นส่วนมนุษย์ ถูกแรงระเบิดฉีกร่างเละไม่มีชิ้นดี กระจัดกระจายเกลื่อนพื้น ในรัศมีวงกว้างกว่า 50 เมตร

แต่มีชิ้นส่วนท่อนล่างซึ่งถูกแรงระเบิดไม่มาก ลักษณะนุ่งกางเกงยีนส์ สวมรองเท้าหนังสีดำ นอนคว่ำหน้ากับพื้น ภาย ในกระเป๋ากางเกงพบกุญแจรถเก๋งยี่ห้อบีเอ็มดับ เบิลยู เจ้าหน้าที่เก็บสลักและกระเดื่องของระเบิดมือชนิดขว้างเอ็ม 33 และเศษคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ยี่ห้อแอปเปิ้ล ส่วนในที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการต่อสู้ ห่างจากศพประมาณ 300-400 เมตร พบรถเก๋งยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู สีบรอนซ์ ทะเบียน กค 4007 กทม. ซึ่งคาดว่าเป็นของผู้ตายจอดอยู่ในสภาพเรียบร้อย ภายในรถพบใบขับขี่ระบุชื่อนายอูเว่ ไคน์เบิร์ต อายุ 45 ปี ชาวเยอรมัน ทราบว่าเป็นวิศวกร ประจำ บริษัท วินซิอินทาวน์ซิ่ง จำกัด พักอยู่บ้านเลขที่ 99 ซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลอง เตย เขตคลองเตย กทม. ซึ่งภายในรถไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือถูกรื้อค้น

สอบสวนทราบว่ามีชาวบ้านได้ยินเสียงระเบิดเมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. คืนที่ผ่านมา แต่ไม่มีใครสนใจ

กระทั่งก่อนพบศพระหว่างที่คนงานเข้ามาดูแลต้นยางก็พบรถจอดอยู่ จึงออกตามหาเจ้าของกระทั่งพบศพผู้เสียชีวิต จึงรีบแจ้งหัวหน้าและแจ้งตำรวจมาตรวจสอบดังกล่าว ด้านผู้เชี่ยวชาญวัตถุระเบิดกล่าวว่า ระเบิดที่สังหาร นายอูเว่เป็นระเบิดมือชนิดเอ็ม 33 ลักษณะ เป็นทรงกลมคล้ายเอ็ม 26 หรือลูกเกลี้ยง เวลาใช้ต้องดึงสลักและปล่อยกระเดื่อง ระเบิดจึงทำงาน

ต่อมานางอารายา ไคน์เบิร์ต อายุ 40 ปี ภรรยา ของผู้ตายซึ่งได้รับการประสานจากตำรวจเดินทางมาดูหลักฐานและยืนยันว่าศพที่พบและรถของกลางเป็นของสามี

ระบุว่าสามีหายออกจากบ้านพักย่านสุขุมวิท 24 เมื่อช่วงเวลาประมาณ 09.00 น. วันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังออกตามหาตลอดวันก็ไม่พบจึงเข้าแจ้งความคนหายไว้ที่สน. ทองหล่อ นางอารายา ให้การอีกว่า การที่สามีถูกระเบิดยังไม่สามารถระบุได้ว่าเพราะสาเหตุใด แต่สามีเคยเล่าว่า เมื่อช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เกิดขัดแย้งกับนักลงทุนชาวต่างชาติทราบว่าเป็นชาวอินเดีย จนเกิดการข่มขู่กันมาตลอด บางครั้งถึงขั้นขู่ฆ่า จนสามีต้องคอยระวังตัวตลอด ส่วนเรื่องปัญหาขัดแย้งทราบแต่เพียงว่า เป็นเรื่องหน้าที่การงานอีก ทั้งทราบว่าอยู่ในระหว่างเจรจาเคลียร์ปัญหากันอยู่

พล.ต.ต.นิวัฒน์ กล่าวว่า จากหลักฐานพบว่าผู้ตายขับรถออกจากบ้านเวลาประมาณ 10 โมงเช้าวันที่ 20 ส.ค. ใช้เส้นทางด่วนมาพัทยา ผ่านทางด่วนช่วงด่านชัยพรวิถีเวลา 10.43 น.

พล.ต.ต.บัณฑิต กล่าวว่าระดมทีมสืบสวนลงพื้นที่แล้วเน้นข่าวในกลุ่มชาวต่างชาติในพื้นที่เมืองพัทยา และแก๊งข้ามชาติต่างๆ เนื่องจาก มีข้อสังเกตว่าผู้ตายมาจาก กทม. และมาถูกสังหารในพื้นที่ อ.บางละมุง ซึ่งห่างจากเมืองพัทยาเพียง 40 ก.ม. เท่านั้น โดยจุดเกิดเหตุเป็นสวนยางขนาดใหญ่ เชื่อว่าคนร้ายน่าจะรู้จักพื้นที่เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามเบื้องต้นสันนิษฐานไว้ 2 ประเด็นคือฆ่าตัวตาย หรือฆาตกรรม

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง.ผบ.ตร. กล่าวว่าได้รับรายงานแล้ว จะลงพื้นที่สอบสวนคลี่คลายคดีนี้ด้วยตนเอง

พร้อมทั้งจะเรียกประชุมส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่สำนักงานตำรวจภาค 2 เวลา 11.00 น. วันที่ 22 ส.ค.นี้ เนื่องจากเป็นคดีสะเทือนขวัญของประชาชนและชาวต่าง ชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เป็นคดีที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้ความสนใจ โดยจะรีบคลี่คลายคดีให้เร็วที่สุด ขณะที่จะเป็นคดีฆาตกรรม หรือ ฆ่าตัวตาย ได้กำชับให้ตำรวจทำงานอย่างรอบ คอบ ส่วนในเรื่องของแก๊งมาเฟียข้ามชาตินั้น ต้องตรวจสอบว่าจะเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตหรือไม่