ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 16 ส.ค.พล.ต.ต.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ผบก.ภ.จ.ระยอง เปิดเผยว่า สั่งการให้พนักงานสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเติม
และออกหมายจับนายณรงค์ โทมี อายุ 36 ปี พนักงานขนเงินบริษัท บริงค์ไทยแลนด์ จำกัด ที่กำลังหลบหนีอยู่แล้ว ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้ว จากพยานหลักฐานที่พบและพฤติ กรรมที่หลบหนีไปนายณรงค์เป็นคนร้ายอย่างแน่นอน สำหรับตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงศรีอยุธยาทั้งหมดส่งเจ้าหน้าที่ออกคุมเข้ม เพราะเกรงว่าจะมีการย้อนกลับมาไขเงินออกไปอีก ทั้งนี้ ประสานไปยังบริษัทแล้วให้เรียกเก็บกุญแจตู้เอทีเอ็มทั้งหมดกลับมา ซึ่งก็สามารถเก็บกลับมาได้ครบทุกดอก นอกจากนี้ยังส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบพยานเพิ่มเติมอีกด้วย
"ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการออกติดตามตัวคนร้ายแล้ว โดยแบ่งสายติดตามไปหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเกิดคนร้าย และบ้านภรรยา นอกจากนี้ยังตรวจสอบเพื่อนร่วมงานของคนร้าย ที่คาดว่าน่าจะมีการวางแผนร่วมกันในการออกก่อเหตุในครั้งนี้ คาดว่าคงได้ตัวมาดำเนินคดีอย่างแน่นอน" พล.ต.ต.ธนิตศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบริษัท บริงค์ ไทยแลนด์ จำกัด กำลังจะหมดสัญญาขนเงินให้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยาและธนาคารได้ต่อสัญญากับบริษัทอื่น
จึงทำให้เกิดความหละหลวมในการป้องกัน ปล่อยให้พนักงานสามารถนำกุญแจออกมาไขเอาเงินไปอย่างง่ายดาย เวลา 15.30 น. พล.ต.ต.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ผบก.ภ.จ.ระยอง เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบภูธรจังหวัดระยอง พร้อมเจ้าหน้าที่สายสืบภาค 2 และสายสืบโรงพักในพื้นที่ที่คนร้ายก่อเหตุไขตู้เอทีเอ็ม พร้อมทั้งผู้บริหารระดับสูงบริษัทบริงค์ ไทยแลนด์ จำกัด เข้าร่วมประชุม เพื่อหาข้อมูลหลักฐาน เพื่อติดตามตัวคนร้าย ซึ่งล่าสุดออกหมายจับนายณรงค์ โทมี อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 258 หมู่ 3 ต.โพธิ์กลาง อ.เมืองนครราชสีมา พนักงานขนเงินของบริษัทดังกล่าว โดยส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจออกติดตามไปยังสถานที่ที่คาดว่าคนร้ายจะหลบหนีไป
ตามจับได้แล้ว4 งัดเอทีเอ็ม10ล.
พล.ต.ต.ธนิตศักดิ์ กล่าวว่า หลังการสอบสวนผู้บริหารบริษัทบริงค์ทราบว่าพนักงานคนดังกล่าวนั้นหายตัวไปจริง และไม่สามารถติดต่อได้
ส่วนตู้เอทีเอ็มที่ถูกไขกุญแจแล้วฉกเอาเงินสดไปนั้นมีทั้งหมด 4 ตู้ สำหรับอีกตู้มีสัญญาณเตือนคือตู้เอทีเอ็ม หน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขามาบตาพุดนั้นไม่ได้ถูกไขเงินสดออกไป ส่วนยอดเงินนั้นระบุจำนวนเงินที่หายไปได้เพียง 2 ตู้ คือ ตู้เอทีเอ็ม ที่อยู่หน้าธนาคารกรุงศรีฯสาขากระเฉด อ.เมือง จ.ระยอง จำนวน 6 ล้านบาทเศษ ส่วนอีก 2 ตู้นั้น คือตู้เอทีเอ็ม หน้าบริษัท ไทยพลาสติก จำกัดมหาชน ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพิ่งนำเงินมาใส่ไว้ก่อนหายไป 4 ล้านบาท และสาขาบ้านฉางเงิน 5 ล้านบาท แต่ไม่สามารถตรวจสอบยอดเงินที่เหลือได้ เพราะคนร้ายใช้ความชำนาญใช้ไฟฟ้าชอร์ตระบบคำนวณเงินในตู้เสียหาย ทำให้ไม่สามารถสรุปยอดเงินที่แท้จริงได้ ต้องตรวจสอบจากยอดลูกค้าที่มากดเงินออกไปก่อนเกิดเหตุใช้เวลา 15 วัน จึงจะสรุปยอดได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ยังเรียกเจ้าหน้าที่ขนเงินบริษัทเข้ามาสอบสวนเพิ่มเติมอีก 2 ราย
เพื่อหาหลักฐานเพื่อสาวไปให้ถึงคนร้ายรายอื่นซึ่งคาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 2 คน ส่วนเบาะแสของคนร้ายยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกติดตามไปยังสถานที่ที่คาดว่าคนร้ายหลบหนีแล้ว สำหรับบริษัทดังกล่าวนั้นทำประกันไว้กับบริษัทประกันแห่งหนึ่ง
เวลา 18.00 น.วันเดียวกัน ที่สภ.เพ พล.ต.ต. ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ผบก.ภ.จว.ระยอง พ.ต.ท. ประเสริฐศักดิ์ จันทร์ประเทศ รองผกก.ป.สภ.เพ
พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนภูธรจังหวัดระยอง ฝ่ายสืบสวนสภ.เพ สภ.มาบตาพุต และสภ. บ้านฉาง นำตัวนายนายพนมกร เกตุหอม อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 173 ม.1 ต.นิคม คำสร้อย อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร มาสอบปากคำคดีไขตู้เอทีเอ็ม เบื้องต้นให้การสารภาพว่าร่วมกับนายสุรศักดิ์ เดชสงค์ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40/5 ม.1 ต.แกลง อ.เมืองระยอง นายกิตติธัช หนองแคน อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5 ม.1 ต.นิคมคำสร้อย อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร และนายจรัล บุญเทา อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 53/2 ตรอกประดู่ แขวงและเขตบางคอแหลม กทม. เป็นพนักงานบริษัท บริงค์ไทยแลนด์ จำ กัด ประกอบธุรกิจด้านขนเงินจากธนาคารต่างๆ ได้งัดตู้เอทีเอ็มภายในพื้นที่จ.ระยอง 4 แห่ง
พฤติการณ์สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 ส.ค.หลังจากคนร้ายซึ่งเป็นพนักงานของบริษัท บริงค์ไทยแลนด์ จำกัด เลิกงานแล้ว ชักชวนกันขับรถยนต์มิตซูบิชิ สีน้ำเงิน ทะเบียน 1ฐ-5301 กทม.
โดยมีนายกิตติธัชเป็นคนขับ นายพนมกรนั่งข้าง ที่ด้านหลังมีนายจรัล และสุรศักดิ์ไปที่ตั้งตู้เอทีเอ็ม สาขากระเฉด ริมถ.สุขุมวิท อ.เมืองระยอง จากนั้นตัดระบบคุมคุมไฟภายในตู้ ก่อนจะนำเงินที่อยู่ภายในตู้เอทีเอ็มออกมาใส่ถุงดำที่เตรียมไป จากนั้นนำขึ้นรถก่อนจะขับหลบหนีมาซ่อนตัวบ้านเพื่อน จากนั้นนายกิตติธัชนำถุงเงินไปฝากนายสุเมธ อุคำ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 137/8 ม.2 ต.ทับมา อ.เมือง จ.ระยอง ซึ่งเป็นญาติ โดยบอกข้างในเป็นปืน ห้ามเปิดถุงดำดู
ภายหลังเจ้าหน้าที่ได้ข้อมูล จึงส่งกำลังเจ้าหน้า ที่เดินทางไปหานายสุเมธที่บ้านพัก เพราะตรวจสอบพบถุงดำวางไว้หลังตู้เสื้อผ้าตามที่ให้ การจึงยึดไว้เป็นหลักฐานและนำไปตรวจสอบต่อไป
สอบสวนเบื้องต้นล่าสุดผู้ต้องหา 3 คนได้ให้การรับสารภาพ
ส่วนอีกคนที่ร่วมแก๊งด้วยยังเบ่งรับแบ่งสู้ แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ร่วมมือกับนายณรงค์ โทมี ที่เจ้าหน้าที่ออกหมายจับแต่อย่างใด โดยยอมรับว่าเลียนแบบพฤติกรรมของนายณรงค์ เห็นนายณรงค์ทำได้ก็เลยทำบ้าง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อว่าจะมีการก่อเหตุเพียง 4 คนคาดว่าจะมีคนอื่นร่วมก่อเหตุในครั้งนี้ด้วย ซึ่งจะได้สอบสวนขยายผลต่อไป