เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 29 ก.ค. ร.ต.ท.โสภณ สมศรี พนักงานสอบสวน (สบ.1) สน.พหลโยธิน รับแจ้งจากน.ส.กุลฑลีย์ ลีกตเวทิน อายุ 37 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 14 ถนนอุทิศ 4 ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ "ภาษาคิด" ที่อ.หาดใหญ่ ว่าถูกคนร้ายย่องเข้าไปลักทรัพย์ ภายในห้องพักเลขที่ 830 ชั้น 8 ของโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ขณะที่นอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องดังกล่าว พร้อมกับครอบครัว เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา โดยทรัพย์สินที่ถูกคนร้ายขโมยไปมีเงินสด 50,000 บาท นาฬิกาข้อมือ 1 เรือน เครื่องประดับ บัตรเครดิต และเอกสารอีกจำนวนหนึ่งรวมมูลค่าประมาณ 150,000 บาท หลังรับแจ้งจึงรีบรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมทั้งรีบเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
เมื่อไปถึงพบน.ส.กุลฑลีย์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่โรงแรมรอพบอยู่ น.ส.กุลฑลีย์ ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 21.00 น.วันที่ 28 ก.ค.
ตน พร้อมแม่ น้องชาย และบุตรชายของตน เดินทางมาจากหาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อเตรียมตัวไปงานแต่งงานน้องชายอีกคน โดยเข้าพักที่โรงแรมดังกล่าว หลังจากที่เข้าพักก่อนที่จะนอนพวกตนก็ได้ตรวจสอบประตูห้องว่าได้ล็อกเป็นที่เรียบร้อย ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อน โดยตนวางกระเป๋าถือ ซึ่งใส่ทรัพย์สินดังกล่าวไว้ที่หัวเตียง ส่วนคนที่นอนเป็นคนสุดท้ายคือน้องชายตนเข้านอนราวตี 1
น.ส.กุลฑลีย์ ให้การต่อว่า ต่อมาเวลาประมาณ 09.00 น.วันที่ 29 ก.ค. แม่ตนก็ได้ตื่นขึ้นเป็นคนแรกและเห็นความผิดปกติที่ประตู
เนื่องจากกลอนพับประตูถูกแง้มออกแต่ประตูห้องยังคงปิดอยู่เหมือนเดิม จึงปลุกพวกตนตื่นขึ้นเพื่อให้ตรวจสอบทรัพย์สิน เมื่อตนหันไปมองที่หัวเตียงก็พบว่ากระเป๋าใบดังกล่าวหายไปแล้ว นอกจากนี้โทรศัพท์มือถือของน้องชายตนที่เสียบชาร์จไว้ก็หายไปด้วย ซึ่งตนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าคนร้ายเข้ามาได้อย่างไร และใช้วิธีใด เนื่องจากประตูห้องไม่มีร่องรอยการงัดแงะเลย หลังจากตั้งสติได้จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ของโรงแรมให้ทราบพร้อมกับเดินตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณชั้นที่ตนพัก ปรากฏว่าไม่มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้แต่อย่างใด เมื่อสอบถามพนักงานโรงแรมก็ทราบว่ามีเพียงชั้นล็อบบี้เท่านั้นที่มีกล้อง แต่ไม่สามารถที่จะให้ตรวจสอบได้ หลังจากนั้นตนจึงเข้าไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่โรงแรมเกี่ยวกับเหตุดังกล่าว ก็ได้รับคำตอบเพียงว่าทางโรงแรมจะชดใช้ค่าเสียให้ทั้งสิ้น 5,000 บาท ตามกฎระเบียบของทางโรงแรมเท่านั้น
บุกฉกถึงห้องพัก รร.หรูเซ็นทรัล
น.ส.กุลฑลีย์ กล่าวอีกว่า ปกติแล้ว หากขึ้นมากทม. ตนจะไปพักที่บ้านพักแถวจรัญสนิทวงศ์ แต่คราวนี้น้องชายบอกว่ามีบัตรสมาชิกของทางโรงแรม ไม่ได้ใช้จะหมดอายุแล้ว
เลยชวนกันมานอนพักที่โรงแรมเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ อีกทั้งมั่นใจในชื่อเสียงของเซ็นทรัล ซึ่งหลังเกิดเรื่องทางโรงแรม น่าจะกระตือรือร้นหรือจริงจังมากกว่านี้ เพราะช่วงเกิดเหตุ ตนไม่ได้ทิ้งทรัพย์สินไว้ในห้อง หรือออกไปไหน ยังนอนอยู่ในห้องทั้งหมด อีกทั้งมีเด็กเล็กรวมอยู่ด้วย หากลูกวัย 3 ขวบเกิดตื่นมาพบคนร้ายเข้า และถูกทำร้ายจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ที่พวกตนหลับสนิทจนไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็ไม่มั่นใจว่าถูกวางยาหรือเป็นเพราะว่า เดินทางมาจนเพลียจึงหลับสนิท
ด้านนายกรัณฑ์ ลีกตเวทิน น้องชายผู้เสียหายกล่าวว่า โดยปกติมารดาจะเป็นคนตื่นเช้า ทั้งหูไว และรู้สึกตัวง่าย ไม่แน่ใจเช่นกันว่า จะถูกวางยาหรือไม่
ในขณะเดียวกันโรงแรมระดับ 5 ดาวกลางกรุงที่มีชื่อเสียง น่าจะมีมาตรฐานในการรักษาความปลอดภัยมากกว่านี้ อีกทั้งคนเข้าออกที่เป็นบุคคลภายนอกไม่น่าที่จะเล็ดลอดเข้าไปถึงชั้น 8 ของโรงแรมได้ ทั้งนี้ยังโชคดี ที่สินสอดทองหมั้นนั้น ได้นำไปฝากไว้ที่บ้านญาติก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
หลังรับแจ้งพนักงานสอบสวนได้ประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานมาเก็บลายนิ้วมือแฝงของคนร้าย พร้อมทั้งให้ฝ่ายสืบสวน สน.พหลโยธิน ตรวจสอบกล้องวงจรปิด
และลงพื้นที่หาข่าวเพื่อใช้เป็นเบาะแสในการติดตามจับกุมคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ด้านนายมาร์ติน เจมส์ รีด ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวทางโรงแรมกำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบรายละเอียดที่เกิดขึ้น ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเบื้องต้นโอกาสที่จะมีผู้บุกรุกเข้าไปในห้องพัก เมื่อมีการล็อกประตูแน่นหนาเป็นไปไม่ได้เลย รวมถึงบริเวณช่องแอร์ และฝ้าเพดาน ซึ่งจากการทดสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประเมินว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะความกว้างยาวของช่องแอร์อยู่ที่กว้าง 20 ซ.ม.และยาว 71-81 ซ.ม.เท่านั้น คนไม่สามารถลอดเข้าไปได้ ขณะที่ห้องเมื่อถูกล็อกอยู่ ไม่สามารถผลักเปิดเข้าไปได้อย่างแน่นอน ต้องงัดเข้าไปเท่านั้นส่วนหน้าต่างเป็นกระจกปิดตาย ซึ่งที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยการถูกงัดแงะจากจุดใดเลย
"โรงแรมไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบ และพร้อมที่จะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ขอเวลาในการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนให้ละเอียดอีกครั้ง ส่วนกรณีที่ว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้เพียง 5,000 บาทนั้น เป็นมาตรฐานที่โรงแรมระดับ 5 ดาว ใช้ในกรณีเกิดความเสียหายกับลูกค้าทั่วประเทศ ที่ผ่านมาเรายังไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลย" นายมาร์ติน กล่าว
นายมาร์ติน กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าอาจถูกวางยาสลบ หากโรงแรมตรวจสอบพบว่ามีพนักงานคนใดกระทำการดังกล่าว จะลงโทษอย่างเด็ดขาด และขั้นสูงสุด เพราะโรงแรมให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของลูกค้าเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก