สยองฆาตกรต่อเนื่องสุดโรคจิต เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 15 ก.ค. พ.ต.ท.สุเทพ ประภากร สวญ.สภ.ด่านแม่คำมัน อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์
นำกำลังตำรวจกว่า 10 นาย ควบคุมตัวนายสิทธิเดช หรือ ออฟ คำเฉย อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 13/12 ถนนอินใจมี ต.ท่าอิฐ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ผู้ต้องหาข่มขืนเด็กหญิงอายุ 12 ปี ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่บ้านหลังเกิดเหตุใน อ.ลับแล
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา มีคนร้ายลักลอบเข้าไปในบ้านของเหยื่อ แล้วบีบคอจนสลบแน่นิ่ง
ก่อนลงมือข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ 2 ครั้ง ต่อมาเหยื่อได้สติ จึงตะโกนร้องให้พ่อแม่ที่พักอยู่ในบ้านช่วยเหลือ คนร้ายจึงกระโดดหนีออกทางหน้าต่างบ้าน และขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป พ่อแม่จึงพาตัวลูกสาวนำส่งร.พ.อุตรดิตถ์ อาการบาดเจ็บสาหัส พร้อมทั้งเข้าแจ้งความตำรวจ
ต่อมาพ.ต.ท.ณัฐวุฒิ ภาคภูมิ รองผกก.กลุ่มงานสืบสวนตำรวจภูธร จ.อุตรดิตถ์ และพ.ต.ต. โสภณ ช้างลอย สว.กลุ่มงานสืบสวน กำลังออกติดตามคนร้าย
โดยสืบจากทะเบียนรถจักรยาน ยนต์ของคนร้ายที่ทางญาติผู้เสียหายจำได้ กระทั่งทราบว่าเป็นนายสิทธิเดช จึงรวบรวมพยานหลักฐาน ขอหมายศาลเข้าตรวจค้นภายในบ้านห้องแถวแบ่งให้เช่าชั้นเดียว พบรถจักรยานยนต์คันที่ใช้เป็นพาหนะขับไปก่อเหตุ ตรวจค้นในห้องนอนพบแผ่นซีดีลามกข่มขืนเด็ก รวมจำนวนกว่า 200 แผ่น และหนังสือลามกอีกเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเมื่อเจ้าหน้าที่นำข้อมูลภายในมือถือของนายสิทธิเดชมาตรวจสอบ พบคลิปวิดีโอร่วมเพศของนายสิทธิเดชกับแฟนสาว ซึ่งกำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มีความยาวเกือบ 20 นาที
จับฆาตกรต่อเนื่อง ฆ่า-ข่มขืน 3ดญ.เหยื่อวิปริต
นายสิทธิเดชให้การรับสารภาพว่า ขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีแดง ทะเบียน กพง 703 อุตรดิตถ์ ติดตามเหยื่อจากร้านอินเตอร์เน็ตในตัวเมืองอุตรดิตถ์ จนถึงบ้าน
และเฝ้าติดตามพฤติกรรมเหยื่อจนพลบค่ำถึงเวลาเข้านอน ก่อนจอดรถไว้ข้างบ้าน นำเก้าอี้ไม้วางต่อตัวปีนกระโดดขึ้นหน้าต่าง มุดมุ้งเข้าไปข่มขืน โดยใช้ผ้าขนหนูปิดปากจมูกไม่ให้เหยื่อส่งเสียงร้องและหายใจ รวมทั้งบีบคออย่างแรงจนหมดสติไป และลงมือข่มขืน 2 ครั้ง กระทั่งเหยื่อได้สติ ตะโกนร้องเรียกให้พ่อและแม่ ซึ่งพักอยู่ห้องติดกันช่วยเหลือ จึงรีบกระโดดหนีออกทางหน้าต่าง ขึ้นรถจักรยานยนต์ขับขี่หลบหนีไป หลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้าน กระทั่งถูกจับกุม
นอกจากนี้ตำรวจยังสงสัยว่านายสิทธิเดช อาจจะเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าข่มขืนเด็กหญิงอายุ 9 ขวบ และอายุ 11 ขวบ ในพื้นที่จ.อุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2551 และวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพศพใกล้เคียงกับพฤติกรรมของคนร้าย จึงเค้นสอบถามเพิ่มเติมนานกว่า 2 ชั่วโมง สุดท้ายนายสิทธิเดช เปิดปากสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คดี
โดยในรายของเด็กหญิงวัย 9 ขวบนั้น คนร้ายรู้จักกับพ่อเด็ก เมื่อมาเห็นเด็กน้อยก็เกิดความต้องการจึงวางแผนติดตามดูพฤติกรรมของเด็กและคนในบ้าน
จนทราบว่าอาศัยอยู่ด้วยกัน 3 พ่อแม่ลูก และมีสุนัขอีก 3 ตัว คนร้ายฉวยจังหวะไม่มีคนอยู่แวะนำอาหารมาให้สุนัขเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย เมื่อเห็นว่าถึงเวลาลงมือก็ขี่รถมากลางดึกปีนเข้าไปในห้องพักของเด็กหญิงใช้ผ้าขนหนูปิดปากและจมูก เมื่อแน่นิ่งแล้วจึงข่มขืน กระทั่งมาทราบข่าวว่าเสียชีวิตเพราะแฟนสาวอ่านเจอในหนังสือพิมพ์
ส่วนเด็กหญิงวัย 12 ปี นายสิทธิเดชให้การว่าเป็นเพื่อนกับอาของเด็ก เจอครั้งแรกตอนเด็กมาเยี่ยมเพื่อนที่ไม่สบาย
ตกดึกก็บุกไปลงมือที่บ้านเนื่องจากคุ้นเคยอยู่แล้ว โดยใช้วิธีการเดียวกัน นายสิทธิเดชให้การอีกว่าทุกครั้งที่ลงมือจะใช้วาสลีนทานิ้วมือเพื่อป้องกันรอยนิ้วมือติดในที่เกิดเหตุ หลังลงมือแล้วก็กลับไปอยู่บ้านทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ต่อมาเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.อภิชาต วิชัยธนพัฒน์ ผบก.อุตรดิตถ์ พร้อมด้วย พ.ต.อ.นิคม เอี่ยมสำอางค์ ผกก.สภ.เมืองอุตรดิตถ์ นำกำลังตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า 40 นาย
ควบคุมตัวนายสิทธิเดชไปทำแผนฯ ประกอบคำรับสารภาพที่ห้องนอนภายในบ้านพักบ้านของเด็กหญิงทั้ง 2 ราย ที่ถูกข่มขืน-ฆ่ามาก่อนหน้านี้ มีชาวบ้านกว่า 200 คน ดูการทำแผนและสาปแช่งผู้ต้องหา พล.ต.ต.อภิชาต กล่าวว่า ผู้ต้องหามีรูปร่างหน้าตาหล่อ แต่งตัวสะอาด นิสัยสันโดด เก็บตัวเงียบ ไม่ชอบคบเพื่อน และมีพฤติกรรมทางเพศค่อนข้างรุนแรง ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ก่อคดีฆ่าข่มขืนมาถึง 2 ครั้ง และข่มขืนรายล่าสุดจนเกือบเสียชีวิต ดีที่พ่อแม่เด็กตื่นขึ้นมาช่วยไว้ได้ทัน ทำให้คนร้ายไม่สามารถเอาชีวิตเหยื่อรายล่าสุดไปได้ จากรายแรกจนถึงรายล่าสุดนี้ รวมระยะห่างกันแต่ละช่วงประมาณ 6 เดือน ไม่ต่างจากฆาตกรต่อเนื่องที่เป็นข่าวในต่างประเทศ
ผบก.อุตรดิตถ์ กล่าวต่อว่า ที่สำคัญคือ คน ร้ายมักจะขี่รถตระเวนออกล่าเหยื่อตามร้านอินเตอร์เน็ต เห็นเป็นเด็กรูปร่างหน้าตาดี สบโอกาสก็จะติดตามไปถึงบ้าน
และเฝ้าดูพฤติกรรมของเหยื่อจนแน่ใจว่าเหยื่อพักอยู่บ้านและอยู่ภายในห้องนอนคนเดียวจะหาโอกาสปืนเข้าทางหน้า ต่างเข้าไปก่อเหตุ จึงให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบ สวนคดีเพิ่มเติม เนื่องจากหวั่นว่ามีคดีที่คนร้ายรายนี้ก่อเหตุอีก และยังไม่ถูกเปิดเผย หรือเจ้าทุกข์ไม่กล้าแจ้งความ เพราะกลัวเสียชื่อเสียง