หนุ่มรัสเซีย คลั่งรัก แค้นใจที่แฟนสาวเคยเป็นผู้ชาย มาก่อน กระหน่ำยิงไม่ยั้งก่อนนำศพไปฝังแถวสถานีรถไฟ เผยทั้งคู่ไปพบรักกันขณะท่องเที่ยวก่อนมาร่วมใช้ชีวิตกันนานถึง 2 ปี
ฝ่ายชายเห็นว่ารักสุกงอมเลยขอแต่งงาน แต่ว่าที่เจ้าสาวกลับบ่ายเบี่ยงทำให้สงสัยว่านอกใจ ค้นหาความจริงจนไปพบจด หมาย จึงทราบว่าคนที่หวังแต่งงานด้วยเป็นผู้ชายมาก่อนและไปผ่าตัดแปลงเพศจากออสเตร เลีย เลยคลั่งยิงจนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 11 ก.ค. เดลี่เมล์ และเว็บไซต์เจียลัตของรัสเซีย รายงานคดีอาชญากรรมน่าสลดว่า ชายชาวรัสเซียก่อเหตุยิงแฟนสาวชื่อ คามิลล่า เสียชีวิต หลังจากรู้ความจริงว่า หญิงสาวเคยเป็นผู้ชายมาก่อน
หนุ่มแค้นยิงแฟนดับ-เพิ่งรู้แปลงเพศ
ตำรวจรัสเซียเปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุมีชื่อว่า นายวลาดิเมียร์ เอฟ. อายุ 33 ปี ชาวเมืองโวลโกกราด อยู่ในแคว้นโวลกา ทางตอนใต้ของรัสเซีย ทั้งสองพบรักกับแฟนขณะไปเที่ยวเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
หลังจากกลับมาถึงเมืองโวลโกกราดแล้วก็เริ่มมีนัดกันและย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันฉันสามีภรรยา โดยคามิลล่าไม่ค่อยพูดถึงเรื่องอดีตมากนัก แต่เรื่องนี้ไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับนายวลาดิเมียร์กระทั่งสองปีต่อมา นายวลาดิเมียร์เพียรขอคามิลล่าแฟนสาวแต่งงาน แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอมตกลงปลงใจเสียที โดยบอกแต่ว่ายังไม่พร้อมที่จะถึงขั้นจริงจังกันและขอเวลาอีกสักหน่อย นายวลาดิเมียร์จึงสงสัยว่า หญิงสาวแอบมีคนรักอื่นซ่อนไว้ ด้วยความหึงหวง จึงแอบไปค้นจดหมายเก่าๆ ของแฟนดู ปรากฏว่าไม่มีเค้าความนอกใจแต่ที่ช็อกกว่านั้นคือ ไปพบข้อความจากเพื่อนๆ เขียนถึงแฟนตัวเองเมื่อ 2 ปีก่อน ด้วยการเรียกชื่อแฟนว่า "คิริล" ซึ่งเป็นชื่อผู้ชาย วลาดิเมียร์แอบอ่านจดหมายหลายฉบับที่ส่งถึงคามิลล่าจนรู้ว่าหลายปีก่อน คามิลล่าเดินทางไปออสเตรเลียเพื่อผ่าตัดแปลงเพศแล้วจึงเปลี่ยนชื่อในเอกสารต่างๆ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
จากหลักฐานเอกสารดังกล่าวทำให้นายวลาดิเมียร์โมโหมากและมาคาดคั้นกับคนรัก จนคามิลล่าสารภาพว่า ตนเองเคยเป็นผู้ชายมาก่อนไปผ่าตัดแปลงเพศ
โดยคณะแพทย์ชาวออสเตร เลียทำให้ แต่ไม่ได้บอกความจริงกับนายวลาดิเมียร์ นายวลาดิเมียร์รู้ความจริงภายหลังถึงกับสติแตก ใช้ปืนยิงเข้าที่อวัยวะเพศของคนรักไม่ยั้ง จนถึงแก่ความตาย หลังจากนั้น ยังเขียนจดหมายลาทิ้งไว้โดยกล่าวว่า ทนไม่ได้ที่ถูกทรยศโดยคนที่เขารักและยังกรีดข้อมือตัวเอง แต่ไม่ตาย จากนั้นนำศพไปฝังแถวสถานีรถไฟ ใกล้เมืองโวลโกกราด ทางใต้ของรัสเซีย ก่อนถูกตำรวจจับได้ในที่สุด แต่ตำรวจต้องนำตัวนายวลาดิเมียร์ไปทดสอบสภาพจิตใจก่อน จึงจะยื่นฟ้องร้องได้