2 กลุ่มเชียร์-ไล่ ปะทะเดือด ยำกันเลือดสาด

"ปะทะตะลุมบอนกันรุนแรง"


หลังเกิดเหตุมีชาวบ้านมาตะโกนขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กลางห้างสยามพารากอน เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา และมีการปะทะกันกับกลุ่มผู้สนับสนุนนายกฯจนได้รับบาดเจ็บนั้น ล่าสุด พ.ต.ท. ทักษิณ ได้พยายามเลี่ยงหนีกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านในระหว่างไปเปิดงานที่ห้างสรรพสินค้า แต่ก็เกิดเหตุปะทะรุนแรงขึ้นอีกครั้ง

ทักษิณ ไม่พูดเบื้องหลังหูฉลาม

เมื่อวันที่ 21 ส.ค. เวลา 09.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อประชุมเตรียมการเยือนสาธารณรัฐทาจิกิสถาน และสาธารณรัฐฟินแลนด์ จากนั้นในเวลา 12.20 น. พ.ต.ท. ทักษิณได้เดินทางไปที่ทำการพรรคไทยรักไทย ถนนเพชรบุรี เพื่อร่วมประชุมกองอำนวยการการเลือกตั้ง กระทั่งเวลา 14.45 น. ได้ออกจากพรรคไทยรักไทย โดย พ.ต.ท.ทักษิณพยายามเดินเลี่ยงหนีผู้สื่อข่าวและกล่าวว่า

ไม่พูดเรื่องการเมือง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เลขาธิการพรรคพูดไปหมดแล้ว ผู้สื่อข่าวได้ถามนายกฯไปรับปากนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ว่าจะเว้นวรรคจริงหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณตอบเพียงว่า นายบรรหารยังไม่ได้เจอกันเลย เมื่อถามอีกว่า ตอนที่กินหูฉลามได้คุยกันเรื่องเว้นวรรคหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า โอ้ หูฉลามอิ่มไปนานแล้ว จากนั้นก็รีบเดินขึ้นรถออกจากพรรคไทยรักไทยทันที


ปรับแผนเดินทางเลี่ยงหนีกลุ่มผู้ชุมนุมไล่


ต่อมาเวลา 15.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางไปยังห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวิลด์ ย่านราชประสงค์ เพื่อเป็นประธานเปิดงาน Digital Park ที่อุทยานการเรียนรู้ส่วนบริการ ชั้น 8 โซนดี อาคารเซ็นทรัล เวิลด์ ท่ามกลางการอารักขาอย่างเข้มข้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งกองปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสันติบาล กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ทั้งในและนอกเครื่องแบบ มาคอยตรวจสอบวัตถุระเบิด พร้อมสกัดกั้นและตรวจตราไม่ให้ประชาชนทั่วไปขึ้นไปร่วมงานที่ชั้น 8 เนื่องจากมีข่าวว่าประชาชนทั้งกลุ่มสนับสนุนและต่อต้าน พ.ต.ท. ทักษิณได้กระจายกำลังกันตามจุดต่างๆ ของห้าง

นอกจากนี้ ยังมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เดินทางมากำกับด้วยตนเอง อาทิ พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.ถาวร จันทร์ยิ้ม ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล พล.ต.ต. อรรถกฤช ธารีฉัตร ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล3 ในฐานะหัวหน้าชุด รปภ.นายกฯ ทั้งนี้ ได้มีการวางแผนป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เผชิญหน้าซ้ำรอยเหตุการณ์ วุ่นวายและการปะทะกันระหว่างกลุ่มสนับสนุนกับกลุ่มต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณเหมือนที่เกิดขึ้นที่ห้างสยามพารากอน เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยได้นำรถยนต์ส่วนตัวของ พ.ต.ท. ทักษิณเข้าจอดที่ด้านหลังห้าง และให้ พ.ต.ท. ทักษิณโดยสารลิฟต์ขนของขึ้นไปยังสถานที่จัดงาน ขณะเดียวกันก็ให้ รปภ.อีกชุดหนึ่งแสร้งเตรียมลิฟต์แก้วกลางห้างเพื่อลวงให้กลุ่มต่อต้านที่มารอขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในบริเวณดังกล่าว


ตะโกนด่าไล่ก่อน 2 กลุ่มผู้ชุมนุมปะทะ


ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ในระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังกล่าวเปิดงาน Digital Park อยู่ที่บริเวณชั้น8 กลุ่มผู้สนับสนุนและต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณได้ทยอยขึ้นมาชั้น 7 และเริ่มมีปากเสียงกัน ถึงขนาดชี้หน้าด่ากันอยู่ พักหนึ่ง จนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนอารักขาประจำจุดต้องเชิญตัวลงมาบริเวณชั้นล่าง เมื่อลงมาถึงด้านล่างกลุ่มต่อต้านก็ยังจับกลุ่มรอเพื่อจะตะโกนขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่บริเวณลิฟต์แก้ว อย่างไรก็ตาม ภายหลังเสร็จพิธีเปิดงานก่อนเดินทางกลับ พ.ต.ท.ทักษิณได้หลบออกทางด้านหลัง โดยใช้ลิฟต์ขนของเช่นเดิม ทำให้กลุ่มผู้สื่อข่าวกรูออกไปรอติดตามขบวนนายกฯออกจากห้างโดยตั้งขบวนอยู่ข้างวัดปทุมวนาราม

แต่ยังไม่ทันที่ขบวนรถของ พ.ต.ท. ทักษิณจะพ้นออกจากบริเวณห้างเข้าสู่ถนนพระราม 1 มีชายวัยกลางคนสวมเสื้อสีแดง พร้อมกับหญิงกลางคนรูปร่างอ้วนใส่เสื้อสีบานเย็น และชายสูงอายุสวมเสื้อสีเหลืองอีก 1 คน ตะโกนเสียงดังไล่หลังขบวนรถนายกฯว่า ทักษิณออกไป ทำให้กลุ่มช่างภาพและผู้สื่อข่าวหันมาให้ความสนใจชายทั้ง 2 คน เป็นผลให้กลุ่มสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเป็นผู้หญิงหลายคนตะโกนตอบโต้ว่า อย่ามาด่านายกฯนายกฯสู้สู้ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้ามาควบคุมสถานการณ์ แต่ทั้ง 2 ฝ่ายก็ยังไม่หยุดตะเบ็งเสียงแข่งกัน


เหตุชุลมุน ตร.ต้องรีบตะครุบตัว


จากนั้นเหตุการณ์เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อมีชายหัวเกรียน สวมเสื้อสีน้ำตาล และใส่แหวนรุ่นตำรวจ พร้อมถือโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา เข้ามาล็อกคอชายที่ใส่เสื้อแดง แต่ชายคนดังกล่าวขัดขืน ชายอีกคนหนึ่งที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำ จึงเข้าคว้าคอชายคนดังกล่าวแทน ส่วนชายหัวเกรียนได้ย้ายไปล็อกคอชายสูงอายุที่สวมเสื้อเหลืองทันที ซึ่งต่อมาเหตุการณ์ก็เริ่มชุลมุนขึ้น ทั้งตำรวจ กลุ่มสนับสนุน กลุ่มต่อต้าน สื่อมวลชน และประชาชนที่มาเดินห้าง ได้พากรูกันไปดูจุดเกิดเหตุจนมั่วไปหมด กระทั่งมีการสั่งการผ่านวิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า

ใครทะเลาะกัน ใครต่อยกันให้คุมตัวไปโรงพัก ทำให้ชายที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำคว้าคอชายเสื้อแดงเพื่อขึ้นรถกระบะของ สน.ปทุมวัน เป็นคนแรก เหตุการณ์จึงทำท่าจะสงบลง แต่ปรากฏว่าชายหัวเกรียน ได้ตามไปล็อกตัวชายสูงอายุที่สวมเสื้อเหลืองของกลุ่มต่อต้าน เพื่อนำตัวไปสถานีตำรวจอีกคนหนึ่ง และมีการฉุดกระฉากกัน จนชายสูงอายุตะโกนขึ้นว่า รังแกประชาชน รังแกประชาชน ชายหัวเกรียนจึงตะโกนตอบโต้กลับว่า ไม่ได้รังแกๆ ก่อนจะควบคุมตัวชายคนดังกล่าวขึ้นรถกระบะไป ทั้งนี้ ภายหลังการควบคุมตัวกลุ่มต่อต้านทั้ง 2 คนไปสถานีตำรวจ ชายหัวเกรียนกับชายเสื้อเชิ้ตสีดำได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลนอกเครื่องแบบ


ถึงขั้นตะลุมบอนเลือดตกยางออก


ไม่กี่นาทีต่อมา อยู่ๆก็เกิดความชุลมุนขึ้นอีกด้านหนึ่ง โดยมีเสียงตุบตับๆ และเสียงโวยวายขึ้นมาที่บริเวณท้ายขบวนรถของผู้สื่อข่าว ซึ่งเมื่อสื่อมวลชนหันไปดู ก็พบว่ามีชายวัยกลางคนถูกรุมทำร้ายและชุลมุนโดยมีเด็กวัยรุ่นหลายคนซึ่งไม่รู้มาจากไหน เข้าชกต่อยและเตะชายคนดังกล่าวจนลงไปนอนนิ่งอยู่กับพื้น จมูกฉีก กกหูขวาฉีกมีเลือดไหลออกมา และยังมีรอยฟกช้ำบริเวณ ใบหน้า ทั้งนี้ มีวัยรุ่นคนหนึ่งใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้น วิ่งออกจากกลุ่มไป เจ้าหน้าที่จึงตะครุบตัวไว้ทันที ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งอยู่ในชุดคอมมานโด 3 นาย เข้าไปประคองตัวชายที่ถูกรุมสกรัมขึ้นมา เพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามชายคนดังกล่าวว่าไปโดนอะไรมา กลับมีตำรวจตอบแทนว่า ลุงแกหกล้ม ทั้งนี้

ประชาชนผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ชายวัยกลางคนดังกล่าวได้ไปยืนตบมือตะโกนไล่นายกฯอยู่บริเวณดังกล่าว ก่อนจะถูกวัยรุ่นรุมชกต่อย นอกจากนี้ ยังมีหญิงสวมเสื้อเหลืองคนหนึ่งโดนลูกหลงจนหัวฟาดพื้นลงไปนอนหัวแตกเลือดไหลย้อยมาที่กกหู เนื่องจากไปยืนอยู่บริเวณดังกล่าว โดยหญิงคนนั้นบอกกับผู้สื่อข่าวว่า โดนมือผู้ชายตัวใหญ่ๆ ไม่รู้จัก มาตบจนล้มลงจนหัวไปฟาดกับขอบถนน


เผ่นเข้าบ้านฉลองวันเกิด อุ๊งอิ๊ง


ในระหว่างนั้นมีคนพยายามทำให้เหตุการณ์ยุติลง ด้วยการประกาศผ่านโทรโข่งว่า อย่าไปตีกันเลย คนไทยด้วยกัน มีอะไรก็ไปว่ากันตอนลงคะแนนเลือกตั้ง แต่เหตุการณ์มายุติลง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานงานสื่อมวลชน ให้นำรถข่าวที่จอดขวางอยู่บริเวณที่เกิดเหตุออกไปก่อนเพื่อเคลียร์พื้นที่ พร้อมนำตัวคนเจ็บส่งโรงพยาบาลตำรวจ โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 20 นาที ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อขบวนรถพ้นจากบริเวณห้าง

ก็ตรงไปนั่งทำงานอยู่ที่บ้านพิษณุโลกประมาณ 30 นาที จากนั้นเดินทางกลับเข้าบ้านพักซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 เพื่อไปร่วมฉลองวันเกิดครบ 20 ปี ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนสุดท้อง ซึ่งคล้ายวันเกิดวันที่ 21 ส.ค. โดยยังไม่ทราบรายละเอียดเหตุการณ์ปะทะชุลมุนจนเลือดตกยางออกดังกล่าว

ตร.สอบเข้มสั่งปรับกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้าน

เมื่อเวลา 17.00 น. พ.ต.อ.มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ รอง ผบก.น.6 พ.ต.ท.อาคม จันทนลาช รอง ผกก.สส. สน.ปทุมวัน พร้อมด้วยพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวันได้สอบปากคำนายวิชัย เอื้อสิลาพันธ์ อายุ 53 ปี นายฤทธิรงค์ ลิขิตประเสริฐกูล อายุ 68 ปี และนายมงคล บุญเต็ม อายุ 18 ปี ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวได้จากเหตุการณ์ฝ่ายเชียร์และฝ่ายต่อต้านก่อเหตุทะเลาะวิวาทบริเวณทางออกห้างเซ็นทรัลเวิลด์ฝั่งด้านข้างวัดปทุมวนาราม พ.ต.อ.มานิตย์เปิดเผยว่า ในการสอบสวน เจ้าหน้าที่ ได้ตั้งเรื่อง 2 ประเด็นด้วยกัน

คือ 1. ในฐานะผู้เสียหายที่ถูกชกทำร้ายร่างกาย และ 2. ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นว่าการไปตะโกนด่าลักษณะนี้ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการก่อความเดือดร้อนรำคาญ ทั้งนี้ จากการสอบปากคำนายวิชัยและนายฤทธิรงค์เป็นผู้ตะโกนด่าเจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อหากับบุคคลทั้งสองว่า ส่งเสียงทำให้เกิดเสียงกระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันควร ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ ตามความผิดมาตรา 370, 397 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ผู้ต้องหาทั้งสองปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยอ้างว่าทำไปตามรัฐธรรมนูญพร้อมจะขอต่อสู้ในชั้นศาล อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวเป็นความผิดลหุโทษโดยเจ้าหน้าที่จะสอบปากคำผู้ต้องหาก่อนปล่อยตัวกลับไป โดยไม่ต้องมีหลักประกัน


โบ้ยพันธมิตรฯยั่วให้เกิดเหตุรุนแรง


วันเดียวกัน น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างกลุ่มต่อต้านและกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นครั้งที่ 2 ว่า ท่าทีของรัฐบาลและพรรคไทยรักไทยไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการใช้ความรุนแรงทางวาจาเยี่ยงนี้ จนก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทขัดแย้ง ถือเป็นพฤติการณ์ที่เริ่มต้นโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นคนจุดประเด็นขึ้นมา ส่งผลร้ายต่อความสมานฉันท์และความสงบสุขของบ้านเมือง ขอวิงวอนให้สังคม ประชาชน ช่วยกันประณาม

และอย่าปล่อยให้พฤติการณ์ดังกล่าวกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นที่ยอมรับของสังคม รัฐบาล และพรรคไทยรักไทยขอวิงวอนไปยังกลุ่มผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีและพรรคไทยรักไทยว่าขออย่าได้ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ หรือตกหลุมพรางที่จะนำไปสู่ความรุนแรง และต้องย้อนถามไปยังกลุ่มพันธมิตรด้วยว่ายังคิดว่าการปลุกปันเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้กลุ่มพันธมิตรเองประกาศมาตลอดว่าไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้า แต่มาวันนี้กลับมาใช้วิธีการดังกล่าวเสียเอง

จี้สังคมช่วยกันรุมประณาม

เมื่อถามว่าทางพรรคประชาธิปัตย์และ ส.ว.บางส่วนออกมาเรียกร้องให้นายกฯยุติบทบาทเพื่อให้ยุติปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ น.พ.สุรพงษ์ตอบว่า ถือเป็นการเรียกร้องที่ผิดประเด็น ถ้าจะให้นายกรัฐมนตรี ต้องลาออกเพื่อจะได้เกิดความสงบสุขก็ไม่ได้มีหลักประกันใดๆ เลยว่าเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณลาออกแล้วจะกลับเข้าสู่ความสงบสุขได้ ตราบใดที่สังคมยังไม่ช่วยกันประณามและหยุดยั้งพฤติการณ์ความรุนแรง และการยั่วยุ เช่นนี้

ในอนาคตไม่ว่าใครขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศแล้วถูกกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนต่อต้านแล้วจะต้องลาออกจากตำแหน่งคงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นคงเป็นไปไม่ได้ที่นายกรัฐมนตรีจะต้องมาทบทวน หรือยกเลิกการเดินทางไปร่วมงานตามสถานที่ต่างๆ เพียงเพราะการกระทำของคนไม่กี่คน แม้จะอยู่ในฐานะรัฐบาลรักษาการก็ต้องทำหน้าที่เพื่อส่วนรวมต่อไป


ย้ำเป็นขบวนการจัดตั้งของพันธมิตร


โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้จากเหตุการณ์หลายๆ แห่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะที่สยามพารากอน บุคคลที่ไปตะโกนขับไล่นายกรัฐมนตรีนั้น น่าแปลกมากที่หลังเกิดเหตุแล้วในวันรุ่งขึ้นก็สามารถไปรวมตัวกันได้อย่างพร้อมเพรียงในเวทีสัมมนาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ถ้าเป็นการแสดงออกตามธรรมชาติคงไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้เร็วขนาดนี้ แสดงว่ามีการจัดตั้งขึ้นมาอย่างชัดเจน ใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังสั่งการการจัดตั้งกลุ่มบุคคลดังกล่าว ต้องขอให้หยุดพฤติกรรมยั่วยุ นำไปสู่ความรุนแรงได้แล้ว

นอกจากนี้ในส่วนของสื่อมวลชนเองก็ต้องขอวิงวอนด้วยว่าอย่าได้ไปช่วยกระพือนำเสนอข่าวของกลุ่มเหล่านี้ให้กลายเป็นข่าวใหญ่โต เพราะจะทำให้เกิดลัทธิเอาอย่าง ในส่วนของการดำเนินคดีนั้นทางตำรวจก็ต้องดำเนินคดีไป หากใครไปทำร้ายร่างกายผู้ใด ผู้นั้นก็ต้องรับผิดชอบไปตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสนับสนุนหรือกลุ่มต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ

สุดารัตน์ ฉุนกลุ่มผู้ชุมนุมไล่ทำให้วุ่น

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีที่มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ และกลุ่มต่อต้านว่า น่าหนักใจ เพราะได้เห็นที่ภาคอีสาน ภาคเหนือ และ กทม. จะพบว่ามีกลุ่มที่เหมือนมีการจัดตั้ง 5-10 คน เพื่อสร้างภาพว่ามีการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ จนกลุ่มคนทั่วไปเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้องเลยออกมาแสดงความไม่พอใจ อยากขอร้องว่าอย่าจัดการนอกระบบ

อย่าสร้างขบวนการ ไม่เช่นนั้นจะมีอีกกลุ่มที่สนับสนุนลุกขึ้นมาเช่นกัน ควรเก็บความคิดและนำไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง ได้ไปทุกพื้นที่จะเห็นว่ามีการ จัดตั้งเหมือนกันทุกพื้นที่ ทางพรรคก็พยายามห้ามคนที่สนับสนุนพรรคไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากัน


ศิธา เผยมีพรรคคู่แข่งอยู่เบื้องหลัง


น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีการจัดตั้งกลุ่มคนเพื่อตามประท้วง ด่าทอ พ.ต.ท. ทักษิณ ขณะปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ขึ้นทุกจังหวัด จังหวัดละ 10-20 คน มีการส่งกำหนดการของนายกฯ เพื่อไปจัดตั้งกลุ่มมาดักรอและพูดจาด้วยถ้อยคำหยาบคาย ยั่วยุให้เกิดการปะทะกับกลุ่ม รปภ. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กระบวนการทั้งหมดเป็นการจัดตั้งกันมา ทราบมาว่าบางพรรคการเมืองได้เกณฑ์คนเพื่อมาสร้างเรื่องให้เกิดความรุนแรง ขอร้องให้ยกเลิกวิธีการดังกล่าว แล้วกลับมาเล่นในกติกาการลง คะแนนเลือกตั้ง

ไม่ใช่ไปสร้างสถานการณ์ตามไปด่าทุกเวที คนที่ไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณก็แค่ไม่ต้องเลือก ถ้าทำอย่างนี้เพียงเพื่อสร้างสถานการณ์ว่าคู่แข่งคะแนนตก การ เมืองไทยก็จะถอยหลังและตกต่ำ โดยในวันนี้ที่นายกฯมีกำหนดการจะไปเปิดงานแหล่งมั่วสุมทางปัญญาของเด็กวัยรุ่น ที่เซ็นทรัล เวิลด์ ทีมล่วงหน้านายกฯได้แจ้งมาว่า มีการจัดตั้งกลุ่มไว้แล้ว 10-20 คน โดยมีบางพรรค ได้เกณฑ์คนให้ไปต่อต้านด้วย

แฉเด็ก นร.โดนซ้อมคนของ สนธิ

นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีที่นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ผู้อำนวยการบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม นำผู้ที่อ้างว่า ถูกทำร้ายร่างกายโดยทีม รปภ.นายกฯ มาแถลงข่าว ว่า หนึ่งใน 6 คน นั้น คือนายยุรชัฎ ชาติสุทธิชัย ที่อ้างว่า เป็นเยาวชนถูกเจ้าหน้าที่ทำร้าย ในบรรดานักเคลื่อนไหวรู้กันดีว่านายยุรชัฎ เป็นบุตรนายชัชวาล ปทุมวิทย์ มีสาย สัมพันธ์กับนายสนธิ นายสังศิต และนายสุริยะใส ดังนั้นเหตุการณ์ที่สยามพารากอนเป็นการจัดฉากทั้งสิ้น ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า

การอยู่ในตำแหน่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะยิ่งสร้างความแตกแยกนั้น อยากย้อนถาม ว่า ถ้าวันหนึ่งนายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ แล้วถูกตะโกนไล่ที่ห้างบ้างจะลาออกหรือไม่ นอกจากนี้อยากให้ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 ไปฟังเทปคำปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรฯที่ จ.พิษณุโลก ที่มีถ้อยคำจาบจ้วงสถาบันอย่างรุนแรงบ้าง เพราะชอบอ้างว่าจะปกป้องสถาบัน อยากให้ พล.ท.สพรั่งตรวจสอบด้วยพื้นฐานของความเสมอภาคด้วย หากอยากได้ข้อมูลให้ติดต่อมาที่ตนได้


อชิรวิทย์ ยัน ตร.ไม่ทำร้ายชาวบ้าน


ด้าน พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช โฆษกสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวถึงกรณีการเผชิญหน้าระหว่างม็อบสนับสนุนกับม็อบต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า หลักในการดูแลผู้นำประเทศ หรือบุคคลสำคัญ จะหลีกเลี่ยงการปะทะ จะดูแลความปลอดภัยมาก่อน ตำรวจ ไม่มีหน้าที่จะไปรังแกใคร หน้าที่สำคัญที่สุดคือดูแลความ ปลอดภัยกับบุคคลสำคัญหรือผู้นำประเทศ เหตุการณ์ที่ ดำเนินการอย่างนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่พึงประสงค์ ให้ความรุนแรงกระทบกระทั่งเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย

ขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ จะมี การจัดการเลือกตั้ง ขอให้ทุกฝ่ายอดทน กกต.กำลังได้รับการคัดเลือก เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นกลาง ภาวะชะงักงันที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองไม่เกิดประโยชน์กับฝ่ายใดทั้งสิ้น ไม่ว่าใครจะเป็นนายกฯ ทั้งนายชวน หลีกภัย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายบรรหาร ศิลปอาชา ตำรวจในฐานะเจ้าหน้าที่ รักษาความปลอดภัยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัย ต้องปฏิบัติ อย่างดีที่สุด ไม่ให้มีใครมาล่วงเกิน เพื่อไม่ให้เกิดภาพลักษณ์ ที่เสียหายต่อบ้านเมือง

ลั่นปัญหามาจากผลประโยชน์ขัดกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีเดินทางไปไหนจะมีคนต่อต้าน ตำรวจจะป้องกันอย่างไร โฆษก สตช. ตอบว่า ป้องกันไม่ได้ แต่ขอร้องได้ สมมติถ้านายกฯทักษิณถูกทำแบบนี้ตลอด ใครมาเป็นนายกฯสมัยหน้าแล้วโดนแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย บ้านเมืองจะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนที่ขัดแย้งกันขณะนี้เคยร่วมเป็นร่วมตายมาทั้งนั้น ร่วมรัฐบาลมาก่อน ร่วมค้าขายกันมาก่อน มีตัวเดียวคือผลประโยชน์ ขอฟ้องประชาชนด้วย

เขารู้จักกันมาก่อนทั้งหมด ทำงานมาด้วยกันทั้งสิ้น ค้าขายมาด้วยกันทั้งนั้น ร่วมรัฐบาลเดียวกันหมด ผลประโยชน์ขัดกัน ประเทศชาติเป็นแบบนี้ ได้รับความเสียหาย ช่วยตอบหน่อยถ้าไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ขัดกัน ช่วยยืนยันด้วยว่ามีใครบ้างไม่เคยร่วมรัฐบาลเดียวกัน มีใครบ้างที่ไม่เคยร่วมธุรกิจกัน เพราะผลประโยชน์ตัวเดียวบ้านเมืองถึงเป็นแบบนี้


ชี้คนที่เสียหายที่สุดคือประชาชน


พล.ต.ท.อชิรวิทย์กล่าวต่อว่า ข้อมูลที่มีอยู่จริงใครพูดปดปฏิเสธไม่ได้ ทำวิจัย 25 ปีที่ผ่านมา รมต.มีประมาณ 150-200 คน วนเวียนกันอยู่ อยู่ต่างรัฐบาลดุด่าว่ากล่าวกัน ธุรกิจด้วยกันเป็นร้อยล้านพันล้าน ให้หุ้นให้อะไรกันขัดแย้งก็จบ คนที่แย่และเสียหายที่สุดคือประชาชนตาดำๆ สิ่งที่พูดเป็นเรื่องจริง ลองไปถามดูกลุ่มพันธมิตรเคยค้าขายกับรัฐบาลบ้างหรือไม่ ตนมีข้อมูลอยู่จริง ไม่ต้องถาม รัฐบาลประชาธิปัตย์ ชาติไทย มหาชน ประชาราช ไทยรักไทย ทุกพรรคทุกคนร่วมรัฐบาลมาด้วยกันทั้งสิ้น เวลาเป็นรัฐบาลร่วมกัน

ภาษาชาวบ้านเรียกว่าจูบปากกัน แต่ขัดแย้ง ผลประโยชน์ไม่ต้องกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายค้านขุดกันมาว่ามีตำหนิกัน ประเทศไทยหัดดูกีฬาแพ้เป็นชนะเป็นให้อภัยกันได้ ดูกีฬาลูกที่อิตาลีชนะออสเตรเลีย ถ้าเป็นประเทศไทยต้องตายกันไปข้าง แต่เขาเคารพกติกากรรมการเป่าแล้วจบ ของเราเป่าแล้วไม่จบ เป่าจนกรรมการตายไม่จบ พล.ต.ท.อชิรวิทย์กล่าว

พันธมิตรปัดไม่คิดจ้างคนขับไล่

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การปล่อยข่าวลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณของ ส.ส.พรรคไทยรักไทย นั้น มุ่งทำลายความชอบธรรมของพันธมิตรคงไม่มีใครเชื่อ เพราะที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของพันธมิตรยึดหลักสันติวิธีและกรอบรัฐธรรมนูญเป็นที่ตั้ง แม้ว่าชุมนุมคนเป็นแสน แต่ไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งแกนนำพันธมิตรอยู่เบื้องหน้าในการต่อต้านระบอบทักษิณมาตลอด ไม่เคยหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังหรือว่าจ้างใครไปทำแทน ดังนั้น แผนลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณจะมีจริงหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆแกนนำพันธมิตรฯไม่เคยแม้แต่คิดจะทำ

ส่วนปรากฏการณ์ต้าน พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีใครบงการหรืออยู่เบื้องหลังแน่ๆ มีแต่คุณธรรมที่คอยดลใจและชี้นำอยู่เบื้องหน้า เป็นสำนึกใหม่ของพลเมือง ที่ใช้ระบบคุณธรรมมาตรวจสอบการทำงานของผู้นำ โดย เฉพาะผู้นำที่ทำลายระบบกฎหมายและกระบวนการตรวจ สอบตามรัฐธรรมนูญ มีแต่คนไม่ดีและพวกวัวสันหลังหวะเท่านั้นที่ผวาหวาดกลัวพลังคุณธรรม ถึงแม้ว่าพันธมิตรจะไม่มีส่วนรู้เห็น แต่วิธีการดังกล่าวเป็นการแสดงออกอย่างเปิดเผย และสันติวิธีตามกรอบรัฐธรรมนูญ ถือว่าเป็นสิทธิที่จะทำได้ อยากบอกไปถึงพรรคไทยรักไทยว่า จะไปห้ามหรือหยุดคงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากต้นเหตุคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้ายังไม่ลาออกหรือยุติบทบาททางการเมือง ปรากฏการณ์จะขยายตัวไปทั่ว


ขู่ฟันแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเชียร์ ทักษิณ


จากเหตุการณ์มีกลุ่มผู้สนับสนุนอดีต กกต. ที่ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาให้จำคุกและรอการกำหนดโทษ ฐานละเมิดอำนาจศาล รวมอยู่ในกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่เข้าไปก่อความวุ่นวายภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ขณะที่เครือ-ข่ายประชาสังคมหยุดระบอบทักษิณจัดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายธันว์ บุณยะตุลานนท์ เลขานุการศาลอาญา เปิดเผยว่า จำเลยในคดีละเมิดอำนาจศาล มีบางคนที่ศาลพิพากษาให้จำคุกจริง

และอีกหลายคนที่ศาลมีคำพิพากษาให้รอการกำหนดโทษไว้คนละ 1 ปี พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามกระทำการหรือเข้าเกี่ยวข้องกับกิจกรรมใดๆ อันจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง หรือนำไป สู่ความแตกแยกในหมู่ประชาชน ภายในกำหนดเวลาที่ศาลรอการกำหนดโทษ ดังนั้น หากปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานแสดงว่ามีจำเลยคนใดที่เข้าไปเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ที่ก่อความวุ่นวายดังกล่าว ถือได้ว่าเข้าข่ายการกระทำผิดเงื่อนไขที่ศาลกำหนดไว้

เลขานุการศาลอาญากล่าวด้วยว่า ที่จะดำเนินการไต่สวนความผิดของจำเลยดังกล่าวได้นั้น จะต้องให้ผู้รู้ข้อมูล หรือผู้ที่เห็นเหตุการณ์เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานแล้วส่งสำนวนให้ศาลเรียกบุคคลนั้นมาไต่สวนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ หากปรากฏข้อ เท็จจริงอย่างชัดแจ้งว่าจำเลยที่ศาลเคยพิพากษาคดีละเมิดศาล ได้ฝ่าฝืนทำผิดเงื่อนไขรอการกำหนดโทษไว้ ศาลอาจใช้ดุลพินิจสั่งยกเลิกการรอการกำหนดโทษ แล้วให้จำคุกจริงจำเลยนั้นตามคำพิพากษาคดีละเมิดอำนาจศาลได้ต่อไป


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์