"ผมฆ่าแม่ชีเอง หมั่นไส้มานานแล้ว ไม่ชอบขี้หน้าเลย ชอบดูถูกพวกผมตลอด วันนั้นผมกลับจากเล่นไฮโลเดินผ่านเห็นแม่ชีนั่งซักผ้าอยู่ เลยเข้าไปกระทืบจนตายแล้วจึงหลบหนี"
คือคำให้การอย่างไม่สะทกสะท้านของนายปรีชา หรือ "ไอ้เปี๊ยก" นิสงค์ หนุ่มใหญ่วัย 54 ขี้เมาย่านวัดรวกบางบำหรุ บางพลัด ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาฆ่า "แม่ชีสนม น้อยประเทศ" อายุ 68 ปี ที่มาถือศีลปฏิบัติธรรมที่วัดรวกบางบำหรุแห่งนี้
ใจคอโหดร้ายฆ่าได้แม้กระทั่งสตรีเพศ
ตำรวจจับกุมไอ้เปี๊ยกเอาไว้ได้หลังก่อเหตุ เพราะมันดันชะล่าใจ ใส่กางเกงเปื้อนเลือดเดินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ในวัด เลยถูกตำรวจจับได้ แต่ทว่าเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของไอ้เปี๊ยก ที่อ้างว่าทำไปเพราะความหมั่นไส้ ไม่ชอบขี้หน้ากัน เจ้าหน้าที่เกรงว่าจะเป็นการชิงทรัพย์มากกว่า เพราะนอกจากไอ้เปี๊ยกจะขี้เมาแล้ว หมอนี่ยังชอบเล่นการพนัน เป็นหนี้เป็นสินงอมแงม
พอหิวเงินอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น!!?
ย้อนไปดูเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นตอนเช้าตรู่วันที่ 18 มิ.ย. พระ-เณรในวัดรวกบางบำหรุ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 57 แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด ต้องแตกตื่นกับภาพที่ปรากฏตรงห้องน้ำรวม ด้านข้างศาลาการเปรียญวัด เมื่อพบศพแม่ชีสนม น้อยประเทศ มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 164 หมู่ 6 ซอยเทอดไท 19 (วัดโพธิ์นิมิตร) แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี ซึ่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดแห่งนี้มาหลายสิบปีแล้ว นอนตายในสภาพนุ่งห่มขาว แดงฉานไปด้วยเลือด ทั่วตัวมีบาดแผลถูกทำร้าย ตาปูดทั้ง 2 ข้าง ศีรษะแตก กรามหัก ลิ้นจุกปาก ตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง นอกจากนี้ ในห้องพักของแม่ชีก็ถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย
เกิดเหตุร้ายขึ้นแล้วในวัดแห่งนี้!!?
หลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.สุธีร์ เนรกัณฐี รอง ผบก.น.7 พ.ต.ต. กิตติศักดิ์ พฤกษ์สุวัฒน์ สว.สส.สน.บางพลัด ร.ต.ท.หญิง เพชรรัตน์ เลิศวานิช ร้อยเวรฯ นำกำลังรุดมาตรวจสอบทันที ก่อนจะมอบหน้าที่ให้หน่วยกู้ภัยรับศพไปดำเนินการต่อ
ขณะที่ตำรวจกำลังชันสูตรพลิกศพอยู่นั้น ทีมสืบได้รับแจ้งจากนายพิเชษฐ์ แข็งแรง อายุ 47 ปี เจ้าหน้าที่วัด ว่าในห้วงเวลาใกล้กันสังเกตเห็น "ไอ้เปี๊ยก" ชายขี้เมาข้างวัดมีพิรุธ ใส่กางเกงเปื้อนเลือด เดินสวนทางตอนไปเข้าห้องน้ำ พอเจอกันไอ้เปี๊ยกได้หันหลังกลับเดินหนีไปทันที เจ้าหน้าที่จึงออกติดตามจนกระทั่งไปเจอมันตอนกำลังช่วยเมียขายของอยู่ที่ร้านน้ำข้างวัดนั่นเอง
ตำรวจจึงนำตัวมาสอบปากคำ
ตอนแรกไอ้เปี๊ยกให้การปฏิเสธเสียงแข็ง บอกไม่รู้เห็นอะไรทั้งนั้น อ้างว่าเลือดที่เปื้อนเป็นเลือดภรรยาที่บาดเจ็บเพราะทะเลาะกัน สารวัตรฯ กิตติศักดิ์ จึงนำเมียของมันมาสอบปากคำ ซึ่งเมียให้การไปอีกอย่าง บอกว่าไม่ได้ทะเลาะกัน
คำสารภาพขี้เมาโหด เตะก้านคอแม่ชีถึงตาย อ้างหมั่นไส้-ชิงทรัพย์
เท่านั้นทุกอย่างก็วกเข้าหาตัวมัน!!?
ไอ้เปี๊ยก เปิดปากรับสารภาพว่า เป็นคนฆ่าแม่ชีผู้น่าสงสาร ด้วยน้ำมือตนเอง แต่อ้างว่าฆ่าเพราะไม่ชอบหน้าเป็นการส่วนตัว โดนหยามเนื่องจากตนเป็นคนเก่าแก่ที่นี่ แต่แม่ชีเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ ชอบใช้สายตาดูถูกมาตลอด เลยฆ่าล้างแค้น
"ก่อนเกิดเหตุผมดื่มเหล้าจนเมาและเล่นไฮโลจนหมดตัว จนตอนเช้ามืดเดินกลับที่พักใกล้วัด พบแม่ชีนั่งซักผ้าหันหลังให้ ด้วยความหมั่นไส้จึงปรี่เข้าไปใช้หน้าแข้งเตะเข้าที่ก้านคอ ใบหน้า และใช้หมัดชกต่อยไปหลายครั้ง จนแม่ชีล้มฟุบหมดสติไป จากนั้นจึงลากร่างไปทิ้งไว้หน้าที่พัก แล้วเดินไปเปลี่ยนเสื้อเพื่อหลับพักผ่อนโดยไม่ได้แตะต้องทรัพย์สินอะไร" ไอ้เปี๊ยก กล่าวทิ้งท้าย
แต่ทว่าตำรวจก็ยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การคนร้าย เพราะสืบรู้มาว่าแม่ชี สนม เพิ่งจะได้เงินมาจากการขายที่ดินจำ นวนหลายแสนบาท ทำให้มีผู้เข้าไปขอหยิบยืมเงินกันมากมาย ซึ่งนายปรีชาก็เพิ่งจะเล่นไฮโลเสียจนหมดตัว อาจต้องการเงินไปซื้อเหล้าหรือใช้หนี้ จึงเข้าไปขอยืมจากแม่ชี เมื่อถูกปฏิเสธจึงลงมือทำร้ายจนตาย
หลังเกิดเหตุตำรวจพาไอ้เปี๊ยกไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ท่าม กลางเสียงสาปแช่งของชาวบ้านย่านนั้น โดยจุดแรกเป็นจุดที่ไอ้เปี๊ยกเดินเข้าไปปัสสาวะในห้องน้ำ แล้วเห็นแม่ชีสนมนั่งซักผ้าอยู่ จุดที่สอง เป็นจุดเตะก้านคอแม่ชีสนมจากทางด้านหลัง ตามด้วยการใช้หมัดรัวใส่จนหมดสติ จุดที่สาม เป็นจุดที่ไอ้เปี๊ยกลากศพไปทิ้งไว้ที่บริเวณหน้าที่พัก และจุดสุดท้ายอยู่บริเวณหน้ากุฏิพระซึ่งห่างไปประมาณ 150 เมตร เป็นจุดที่ไอ้เปี๊ยกเปลี่ยนเสื้อผ้าช่วยภรรยาขายของ จนกระทั่งถูกจับ
ชาวบ้านสาปแช่งขอให้ตายตกไปตามกัน
คดีนี้ตำรวจวิเคราะห์ตามรูปการณ์ เชื่อว่าแม่ชีน่าจะถูกฆ่าก่อนเที่ยงคืน เนื่องจากมีพยานเห็นไอ้เปี๊ยกไปซื้อเหล้าตอนประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ โดยใช้แบงก์พันเปื้อนเลือดจ่าย พอมีคนถามก็อ้างว่าเปรอะเลือดประจำเดือนของเมีย ส่วนที่คนร้ายอ้างว่าแม่ชีเพิ่งมาอยู่และมีเรื่องกันนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะแม่ชีสนมอยู่ที่วัด รวกบางบำหรุมาประมาณ 30 ปีแล้ว อยู่ก่อนที่ไอ้เปี๊ยกจะมาอาศัยอยู่เสียอีก ซึ่งแม่ชีไม่เคยมีเรื่องหรือมีปัญหากับใครทั้งนั้น
การจากไปของแม่ชีสนม สร้างความเศร้าใจให้คนในครอบครัว "น้อยประเทศ" เป็นอย่างยิ่ง เพราะตลอดทั้งชีวิตของแม่ชี ทำบุญรักษาศีลอยู่ที่วัดมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นผู้พิการทางสายตามาตั้งแต่กำเนิด บวชชีมานานกว่า 30 ปี ไม่ยอมสึก
จนกระทั่งมาจบชีวิตเพราะคนใจร้ายจนได้