ฆาตกรฆ่าหนูน้อยแรมซี่ย์อ้างหลงรักเหยื่อไม่มีเจตนาฆ่า

ตม.ร่วมกับผู้ช่วยทูตกระทรวงความมั่นคงภายในสหรัฐแถลงข่าว ตร.ไทยสามารถจับกุม"จอห์น มาร์ค คาร์" ชาวอเมริกา ผู้ต้องสงสัยฆาตกรเด็กหญิงฌองเบเน แรมซี่ย์ นางงามเด็กวัย 6 ขวบเมื่อ 10 ปีก่อน เตรียมส่งตัวกลับสัปดาห์นี้ ผู้ต้องสงสัยอ้างหลงรักเหยื่อไม่มีเจตนาฆ่าเพียงต้องการลักพาเรียกค่าไถ่ พ่อหนูน้อยเผยโล่งอกที่จับกุมผู้ต้องสงสัยได้

(17ส.ค.) ตามที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯได้เปิดเผยถึงผลงานของตำรวจไทยที่สามารถจับกุมตัวนายจอห์น มาร์ค คาร์ ชาวอเมริกันวัย 41 ปี ในข้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศและก่อเหตุฆาตกรรมเด็กหญิงฌองเบเน แรมซี่ย์ นางงามเด็กวัย 6 ขวบ ที่คฤหาสถ์หรูในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด เมื่อ 26 ธันวาคม ปี 2539 ที่เป็นคดีลึกลับที่โด่งดังไปทั่วโลก ได้เมื่อคืนวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา และมีการแถลงข่าวที่กรุงเทพฯโดยสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นเผยแพร่ภาพไปทั่วโลก

ทั้งนี้เมื่อเวลา 14.00 น. พล.ต.ท.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ได้ร่วมกับ ไอซ์ทีม ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา แถลงผลการจับกุมนายจอห์น มาร์กคาร์ (JOHN MARKKAR) อายุ 41 ปี ชาวอเมริกัน ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐ ข้อหาฆ่าเด็ก ด.ญ.แรมซีย์ อายุ 6 ขวบ โดยเจตนาลักพาตัวและล่วงละเมิดทางเพศ

พล.ต.ท.สุวัฒน์ กล่าวว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหา ได้ลำดับเหตุการณ์ให้ฟังว่า ช่วงเช้ามืดของวันที่ 26 ธ.ค.2539 ได้ลอบเข้าไปภายในบ้านพักของ ด.ญ.แรมซีย์ ก่อนให้ดมยาสลบ แล้วล่วงละเมิดทางเพศ และทำร้ายด้วยการรัดคอจากนั้นอุ้มเด็กไปไว้ในห้องใต้ดินของบ้าน โดยไม่รู้ว่าเด็กเสียชีวิต พร้อมเขียนจดหมายเรียกค่าไถ่จากผู้ปกครองเป็นเงิน 118,000 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนหลบหนีไป

"นายจอห์น ผู้ต้องหายังยอมรับว่า หลงรัก ด.ญ.แรมซีย์ ฉันชู้สาว เพราะเป็นเด็กน่ารัก หน้าตาดี เป็นดาวเด่นในโรงเรียน และชนะเลิศประกวดความงามจากหลายเวที ส่วนสาเหตุที่ศาลเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด เพิ่งออกหมายจับเนื่องจากเพิ่งสามารถพิสูจน์ลายมือในจดหมายที่คนร้ายเขียนไปบอกกับศาสตราจารย์คนหนึ่งซึ่งปรากฏอยู่ในสารคดีฆาตกรรม ด.ญ.จอนเบเนต ว่า ตนคือฆาตกร กระทั่งพิสูจน์ได้ว่าลายมือในจดหมาย เป็นของนายจอห์น จึงออกหมายจับ และประสานทางการไทย ให้สืบสวนติดตามจับกุมนายจอห์น" พล.ต.ท.สุวัฒน์ กล่าวและว่า

เพราะจดหมายมีต้นทางจากประเทศไทย และจากการตรวจสอบพบว่านายจอห์น เข้าประเทศครั้งแรกเมื่อปี 2548 และครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมาจากรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย รวมจำนวนเข้า-ออกประเทศ 5 ครั้ง จากการตรวจสอบยังพบว่า นายจอห์น ได้ไปสมัครเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ ที่โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งย่านสาทร โดยทดลองสอนได้เพียง 2 วัน ก็ถูกชุดสืบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจับกุมได้คาห้องพักเดอะบูม อพาร์ตเมนต์ เขตสาทร

ทั้งนี้พบว่า ผู้ต้องหามีอาการเครียด พล.ต.ท.สุวัฒน์ จึงสั่งการให้ตำรวจ 2 นาย คอยดูแลผู้ต้องหาอย่างใกล้ชิด เพราะหวั่นจะทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตาย อย่างไรก็ตาม จะเร่งดำเนินการส่งตัวนายจอห์น กลับไปดำเนินคดีที่สหรัฐโดยเร็วที่สุด

ด้าน แอนน์ เฮิร์สต์ ผู้ช่วยฑูตของกระทรวงความมั่นคงภายในของสหรัฐ กล่าวว่า นายคาร์จะถูกส่งตัวไปสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งทางการสหรัฐได้ประสานกับตำรวจไทยมานาน 2 เดือนแล้ว ในการตามร่องรอยของนายคาร์ และเป็นไปได้ว่าเขาอาจก่อคดีอื่นไว้ที่แคลิฟอร์เนียด้วย

อย่างไรก็ตามการแถลงข่าวครั้งนี้นายจอห์น มาร์ค คาร์ ยอมรับสารภาพว่า "ไม่ได้มีเจตนาฆ่าและหลงรักนางงามเด็กผู้นี้" แต่เขายังไม่ได้เขียนคำรับสารภาพเป็นลายลักษณ์อักษร

ขณะที่นายจอห์น แรมซีย์ พ่อของหนูน้อยจอนเบเน็ต แรมซีย์ วัย 6 ขวบ แสดงความรู้สึกโล่งใจในระหว่างให้สัมภาษณ์เอบีซี นิวส์ ที่สหรัฐ กรณีที่ผู้ต้องสงสัยถูกจับกุมได้แล้วในประเทศไทย

นายแรมซีย์ กล่าวว่า เป็นวันที่เขารอคอยมานานถึง 10 ปี และหวังว่าจะเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่บทสรุปในคดีนี้ แม้เป็นการย้ำอดีตที่เจ็บปวดก็ตาม

นายแรมซีย์ กล่าวด้วยว่า เขารู้ตัวผู้ต้องสงสัยนับแต่เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน แต่ไม่แน่ใจว่าเคยรู้จักมาก่อนหรือไม่ นอกจากนี้ มารดาของเด็กก็ทราบว่าการสอบสวนคดีกำลังพุ่งเป้าไปยังผู้ต้องสงสัย ก่อนที่เธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

นายแรมซีย์ กล่าวด้วยว่า การสอบสวนคดีฆาตกรรมบุตรสาวของเขาเป็นความร่วมมือของหลายฝ่าย ทั้งตำรวจแคนาดา อังกฤษ ไทย และสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐ หรือเอฟบีไอ ซึ่งทำงานร่วมกันอย่างแข็งขันมานานราว 3- 4 เดือน

เอบีซี นิวส์ รายงานว่า นายจอห์น คาร์ ครูชาวอเมริกัน วัย 41 ปี ถูกระบุตัวว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมจอนเบเน็ต จากการที่เขาโต้ตอบจดหมายผ่านทางอีเมลกับผู้สื่อข่าวรายหนึ่งในรัฐโคโลราโด โดยเนื้อหาในอีเมลชี้ให้เห็นว่า เขารู้รายละเอียดเกี่ยวกับคดีที่ไม่เคยมีการเปิดเผยต่อสาธารณชนมาก่อน

แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก