คราวนี้เกิดเรื่องกับนักเรียนหญิงชั้นป.1 โรงเรียนวัดคานหาม อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ไปเล่นอุโมงค์ลอยฟ้าเครื่องเล่นที่ทำจากถังน้ำมัน 200 ลิตร มีโครงเหล็กต่อเป็นบันไดเชื่อมกัน ซึ่งอุโมงค์ลอยฟ้าเจ้ากรรมมีสภาพเก่า ผุพัง จึงหักลงมาทับคอหนูน้อยเข้าอย่างจังจนได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตาย
เครื่องเล่นไร้คุณภาพทำพิษอีกจนได้!!?
ย้อนไปดูเหตุสลดครั้งนี้เกิดขึ้นตอนเย็นวันที่ 9 มิ.ย. ระหว่างที่ "น้องจ๋อม" ด.ญ.จารุวรรณ บรรพโต อายุ 7 ขวบ นักเรียนชั้นป.1 โรงเรียนวัดคานหาม กำลังรอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน เธอได้ไปวิ่งเล่นตามประสาเด็กๆ ชักชวนเพื่อนอีกคนไปเล่นอุโมงค์ลอยฟ้า เครื่องเล่นที่ทำจากถังน้ำมัน 200 ลิตร 2 ถังนำมาเชื่อมติดกัน ต่อเสาโครงเหล็กสูงจากพื้นดิน 1 เมตร ทั้ง 2 ด้าน มีบันไดลิงสำหรับปีนป่ายขึ้นไปในถังทั้ง 2 ถัง
หนูน้อยไม่ทันระวังว่ากำลังจะเกิดเหตุร้าย!!?
ขณะเล่นสนุกอยู่นั้น จู่ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่ออุโมงค์ลอยฟ้าเจ้ากรรมเกิดพังครืนลงมาทับคอน้องจ๋อมจนหมดสติไป ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์รีบหามร่างเด็กหญิงเคราะห์ร้ายส่งร.พ.อย่างวุ่นวาย เพราะน้องจ๋อมหายใจติดขัด แพทย์รีบนำเข้าห้องไอซียูใส่เครื่องช่วยหายใจในสภาพอาการหนัก ตาลืมแต่ไม่กะพริบ มีเลือดออกในสมอง สมองบวม และมีเลือดออกในปอด สมองขาดออก ซิเจนเป็นเวลานาน เลยทำให้น้องจ๋อมตอบสนองได้น้อยลง
แพทย์ระบุอาการเป็นตายเท่ากัน!!
หลังเกิดเหตุพ.ต.ท.ธีระยุทธ ทองสาริ รองผกก.สส.สภ. อุทัย เดินทางมาตรวจสอบยังสนามเด็กเล่นหลังโรงเรียนวัดคานหาม พร้อมประสาน นายสุชาติ ทองมา ผอ.โรงเรียน ซักถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเข้าข่ายอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทหรือไม่
จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่า
เครื่องเล่นที่ตั้งไว้ในลานกีฬาส่วนใหญ่เป็นของเล่นเก่าที่ทางโรงเรียนนำมาตั้งไว้ที่ลานกีฬาชุมชน ซึ่งทางโรงเรียนให้ข้อมูลว่าเคยสั่งห้ามเด็กนักเรียนแล้วว่าไม่ให้ไปเล่น แต่ก็ยังมีเด็กแอบไปเล่นเป็นประจำ ช่วงเกิดเหตุน้องจ๋อมกับเพื่อนอีกคนมุดเข้าไปในอุโมงค์ จึงทำให้เสาเหล็กที่รับน้ำหนักอุโมงค์ไม่ไหวเกิดหักลงมาทับคอน้องจ๋อมอาการเจียนตาย เจ้าหน้าที่จึงทำบันทึกไว้และจะเรียกพยานมาสอบสวนต่อไป นอก จากนี้ ทางโรง เรียนยังยืนยันด้วยว่า ช่วงเกิดเหตุเป็นช่วงโรงเรียนเลิกแล้ว แต่ก็คงจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้เพราะเป็นลูกศิษย์ลูกหา
เรื่องนี้ถือเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด
"เครื่องเล่นดังกล่าวปลดระวางและทำจำหน่ายออกจากโรงเรียนแล้ว เพราะโรงเรียนได้เครื่องเล่นชุดใหม่มาแล้ว แต่อยู่ระหว่างรอการขนย้าย ผมเคยสั่งห้ามเด็กแล้วว่าไม่ให้ไปเล่น แต่คงจะไปว่าเด็กไม่ได้ เพราะเด็กคือเด็ก ผมและครูทุกคนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอโทษผู้ปกครองและพี่น้องประชาชนที่ลูกหลานเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ ทางโรง เรียนจะดูแลช่วยเหลือน้องจ๋อมอย่างเต็มที่" นายสุชาติกล่าว
ก่อนสั่งขนย้ายเครื่องเล่นที่หมดสภาพชุดนี้ออกจากพื้นที่ทันที!?!
เหตุการณ์ครั้งนี้เหมือนกระชากดวงใจ นางรำพึง เชี่ยวเชิงงาน อายุ 50 ปี ป้าของน้องจ๋อมที่เลี้ยงดูน้องจ๋อมมาตลอด เนื่องจากชีวิตของน้องจ๋อมน่าสงสารมาก "จ๋อม" เป็นเด็กครอบครัวแตกแยก พ่อแม่แยกทางกัน นางรำพึงจึงนำน้องจ๋อมกับพี่สาวมาเลี้ยงดูเหมือนลูก ให้เรียนในโรงเรียนวัดคานหามใกล้บ้าน
ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุกับหลานแบบนี้
"ฉันไม่ได้ติดใจเอาความอะไร เพราะเข้าใจว่าเป็นเหตุที่ทุกคนไม่อยากให้เกิด แต่อีกใจหนึ่งก็สงสัยว่าเครื่องเล่นที่หมดสภาพหลายชิ้น ชำรุดและเป็นอันตราย เมื่อทำเรื่องจำหน่ายแล้ว ทำไมไม่ขนย้ายออกไปจากโรงเรียน ชาวบ้านเห็นเครื่องเล่นชุดนี้ตั้งในโรงเรียนมา 6-7 ปีแล้ว หากรู้ว่าจะเกิดอันตรายทำไมไม่ป้องกันแต่ต้น ขอให้เกิดเรื่องแบบนี้กับจ๋อมเป็นรายสุดท้าย ไม่อยากให้เกิดกับใครอีก" นางรำพึงกล่าวทิ้งท้าย
หลังเรื่องนี้แพร่เป็นข่าวออกไป นางวาสินี ผิวผ่อง นายกเหล่ากาชาดจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมคณะเดินทางเข้าเยี่ยมอาการน้องจ๋อม พร้อมกับมอบเงินจำนวนหนึ่งเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น และรับปากจะหาทางช่วยเหลือต่อไป ขณะที่ นายธนภัท จำแนกวงษ์ นายกอบต.คานหาม อ.อุทัย ก็ยื่นมือเข้ามาให้ ความช่วยเหลืออีกทาง พร้อมหารือกับทางวัดคานหามและทางโรงเรียนเพื่อหาเงินมารักษาน้องจ๋อม และจัดซื้อเครื่องเล่นใหม่ที่ปลอดภัยให้กับเด็กนักเรียนเพื่อจะได้ไม่เกิดเหตุซ้ำซ้อน
ทุกคนไม่อยากเห็นภาพแบบนี้เกิดขึ้นอีก!!?
ผลพวงของเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้นายธำรง แก้วเล็ก ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรี อยุธยา เขต 1 สั่งตั้งกรรมการสอบสวนผู้อำนวยการโรงเรียนและครูในโรงเรียนวัดคานหาม เพื่อค้นหาความจริงว่าเรื่องนี้เกิดจากความบกพร่องของใคร
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งไปยังโรงเรียนทุกแห่งในพื้นที่เขตการศึกษาเขต 1 ให้สำรวจเครื่องเล่นทุกชิ้นให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้ หากเครื่องเล่นชิ้นใดเสียหายให้ดำเนินการเก็บออกทันที
ซึ่งหลังจากนี้หากเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้กับโรงเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบอีก ผู้บริหารโรงเรียนจะต้องรับผิดชอบ
ทางที่ดีช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดดีกว่า!!?