ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีฆ่าแขวนคอ ด.ญ.อวิศา ทาศร อายุ 12 ปี และด.ญ.อรวรรณ ทาศร อายุ7 ปี สองพี่
น้องภายในบ้านพักเลขที่11 หมู่ 5 บ้านเกาะหมี ต.คลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่15 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยล่าสุดตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว ประกอบด้วย นายสุเรนทร์ บิลละเส๊ะ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 11/6 หมู่ 5 ต.คลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และ นางสุธา สังข์ทอง อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63/3 ถ.ภาษีเจริญ2 ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นสองผัวเมียที่เช่าบ้านอยู่ใกล้กับบ้านเกิดเหตุ หลังจากที่ได้เชิญตัวมาสอบสวนเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 19 พ.ค.และยอมรับสารภาพหมดเปลือก
เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 20 พ.ค. ที่ห้องประชุม สภ.หาดใหญ่
พล.ต.ท.ธานี ทวิศรี ผบช.ภาค 9 พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ รอง ผบช.ภาค 9 พล.ต.ต.วิรุฬ เอี่ยมไพจิตร์ ผบก.ภ.จว.สงขลา ได้นำตัว นายสุเรนทร์ และ นางสุธา สองผัวเมีย แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน หลังจากที่ถูกจับกุมตัวได้และรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา พร้อมของกลาง สร้อยคอสีทองมีรอยถูกเผาที่ปลายสายสร้อย 1 เส้น เงินสด 5, 000 บาท รองเท้าแตะสีน้ำตาลเปื้อนโคลน 1 คู่ เชือกในล่อนที่ใช้ผูกคอผู้ตาย 1 เส้น มีพร้า 1 ด้าม เสื้อผ้าของ นางสุธร ที่สวมใส่วันเกิดเหตุ 1 ชุด
ทั้งนี้ มีการเชิญครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง นางเรียม บิลยะแม แม่ของเด็ก และนายเฉม บิลยะแม ซึ่งเป็นตาพร้อมทั้งญาติเข้ามาฟังคำรับสารภาพต่อหน้าของผู้ต้องหา
ซึ่งทั้งหมดต่างอยู่ในอารมณ์ที่โกรธแค้น โดยเฉพาะ นางเรียม ซึ่งชี้หน้าด่า นายสุเรนทร์ และนางสุธา จนญาติและเจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันห้ามเพื่อให้สติอารมณ์ จากนั้นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้เปิดให้ผู้ต้องหาทั้งสองคนเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดและสาเหตุที่ต้องฆ่าเด็กทั้งสองคน โดย นายสุเรนทร์ เล่าว่า เนื่องจากเป็นหนี้สินกว่า 1 แสนบาทและต้องการนำเงินไปใช้หนี้และใช้จ่ายส่วนตัว ทั้งค่าผ่อนรถและค่าเทอมลูก เมื่อเข้าตาจนจึงเกิดความคิดชั่ววูบ ภายในคืนก่อนเกิดเหตุได้เข้าไปลักทรัพยภายในบ้านดังกล่าว เพราะรู้ว่ามีเงินและทองคำ โดยเลือกลงมือในช่วงใกล้รุ่งระหว่างที่ตากับยายของเด็กหญิงทั้งสองคนออกไปกรีดยาง
นายสุเรนทร์ บอกว่า ภรรยาเป็นคนเรียกให้ ด.ญ. อวิศา เปิดประตูห้องนอนโดยหลอกว่ายายเป็นล้มอยู่ในสวนยาง
จากนั้นตนเป็นคนใช้มือปิดปากปิดจมูกจนแน่นิ่งและให้ภรรยาหาเศษผ้ามาผูกขาแล้วพาไปไว้หลังบ้านโดยใช้เชือกรองเท้ามัดคอไว้กับแคร่ไม้ จากนั้นจึงช่วยค้นรื้อค้นทรัพย์สิน แต่ ด.ญ.อรวรรณ น้องสาวตื่นขึ้นมา ตนจึงใช้กำลังบีบคอจนแน่นิ่ง และนำเชือกรองเท้ามัดคอ ด.ญ.อรวรรณ และนำไปไว้หลังบ้าน ก่อนที่จะใช้เชือกรัดคอติดไว้กับพี่สาว
แม่2ด.ญ.อยากให้ประหารชีวิต2ผัวเมียฆ่าแขวนคอลูก
นายสุเรนทร์ ยังบอกถึงสาเหตุที่ต้องฆ่าเด็กทั้งสองคนว่า เป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบและตกใจและกลัวว่าจะนำเรื่องไปบอกแม่และตากับยาย
จึงจำเป็นต้องฆ่าปิดปากทั้งสองคนแม้ว่าจะสนิทสนมคุ้นเคยกับเด็กเป็นอย่างดี และครอบครัวนี้ก็มีบุญคุณกับตนเพราะเมื่อเดือดร้อนเคยไปหยิบยืมเงิน นางไร ซึ่งเป็นยายของเด็กเป็นประจำและได้รับความช่วยเหลือมาโดยตลอด เหตุที่ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบเพราะเข้าตาจนจริง ๆ ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร ทั้งนี้หลังก่อเหตุพยายามคุมสติทำตัวเหมือนไม่มีอะไร และไม่ได้หลบหนีไปไหนยังคงพักอยู่ที่บ้านเช่าและอยู่ช่วยงานศพครอบครัวนี้ตลอด แต่ยอมรับว่าวันแรกภาพของเด็กทั้งสองคนตามมาหลานและติดตาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลังจากนี้ตนพร้อมชดใช้กรรมที่ก่อขึ้น
ด้าน พล.ต.ท.ธานี ทวิชศรี ผบช.ภาค 9 เผยเบื้องหลังการคลี่คลายคดีนี้ว่า จากการเข้าไปสอบสวนพยานแวดล้อมที่จุดเกิดเหตุในวันแรก
นางสุธา ซึ่งเช่าบ้านอยู่ข้างบ้านเกิดเหตุยังให้การหลอกตำรวจว่า พบเห็นรถยนต์เก๋ง ยี้ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส สีดำ เข้ามากลับรถหน้าบ้านเกิดเหตุ เวลาประมาณ 05.30 น. ซึ่งขัดแย้งกับคำให้การของพยานปากอื่น เพื่อให้ตำรวจหลงประเด็น และจากการตรวจสอบประวัติผู้ที่มาเช่าบ้านอยู่ข้างบ้านเกิดเหตุจำนวน 6 หลังพบว่า มีเพียง นางสุธา คนเดียวที่เคยมีประวัติต้องโทษคดีลักทรัพย์ เมื่อปี 48 ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ ศาลจำคุก 1 ปี 6 เดือน ตำรวจจึงได้ติดตามพฤติกรรมของ นางสุธา และนายสุเรนทร์ อย่างใกล้ชิด
ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พ.ค.เริ่มมีความชัดเจนขึ้น
เมื่อตำรวจชุดสืบสวนซึ่งประกอบด้วย พ.ต.อ.ดำรงค์ วัฒโนดร พ.ต.อ.สาคร ทองมุณี พ.ต.อ.วีรสิทธิ์ เพ็ชรคล้าย รอง ผบก.ภ.จว.สงขลา พ.ต.อ.อำพล บัวรับพร รองผบก.กลุ่มงานสืบสวนฯภาค 9 พ.ต.อ.ศุภวัฒน์ ทับเคลียว ผกก.สภ.หาดใหญ่ พ.ต.อ.ธรรมนูญ ไตรทิพยพงศ์ ผกก.กลุ่มงานสืสืบสวน ภ.จว.สงขลา พ.ต.ท.ศักดิ์ดา เจริญกุล รอง ผกก.กลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.สงขลา และ พ.ต.ท.เอกรัฐ สวนแสน สว.สส. สภ.หาดใหญ่ ได้ลงพื้นที่เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงคดีปรากฏว่า ได้พบหลักฐานชิ้นสำคัญคือรองเท้าแตะเปื้อนโคลน ของ นายเฉม ตาของเด็กทั้งสองคน ซึ่งหายไปในวันเกิดเหตุ โดยตกอยู่ในสวนยางหลังบ้านเช่าของ นางสุธา จึงได้เชิญตัวทั้งสองคนมาสอบสวนขยายผล จนกระทั้งทั้งสองคนจำนวนต่อหลักฐานยอมรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
โดยหลังการจับกุม ตำรวจ ได้พา นางสุธา ไปที่ร้านทอง ทองดี ที่นำทองไปขายซึ่งร้านทองยืนยันว่ารับซื้อไว้จริง
นอกจากนี้ยังมีทองปลอมอีก 1 เส้นที่ นางสุธา ได้นำไปโยนทิ้งริมสะพานคลองพลา ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ ซึ่งตำรวจก็ยึดกลับมาได้ ส่วนเงินสด 13,000 บาท นายสุเรนทร์ ได้นำเงินไปใช้หนี้ให้กับนายจ้างซึ่งเป็นผู้รับเหมาเฟอร์นิเจอร์ ที่ตัวเองยืมมา 5,000 บาท ที่เหลือนำไปใช้ส่วนตัวจนหมด ซึ่งหลังเกิดเหตุนายจ้างคนดังกล่าว ได้นำเงินมาคืนเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นของกลางประกอบคดี
ทางด้าน นางเรียม บิลยะแม แม่ของเด็กหญิงทั้งสองคนได้ถามผู้ต้องหาทั้งสองคนด้วยความโกรธแค้น ว่า ฆ่าลูกสาวของตัวเองทำไม เพราะรู้จักสนิทสนมกันเป็นอย่างดี ทั้งที่ผู้ต้องหามักจะวานให้ลูกสาวคนโตไปซื้อของให้เป็นประจำ ที่สำคัญครอบครัวของตนมีบุญคุณกับผู้ต้องหา คอยช่วยเหลือเรื่องเงินทองอยู่เป็นประจำ
นางเรียม กล่าวว่า หลังเกิดเหตุ นางสุธา ยังได้โทรศัพท์มาข่มขู่ตนอีกต่างหากโดยพยายามปลอมเสียง
โดยบอกว่าเลิกยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ให้มันจบลงไม่งั้นจะฆ่าให้ตายยกครัวตามลูกไปด้วย ซึ่งแม้จะปลอมเสียงแต่ตนก็จำได้แม่นยำว่าเป็นเสียงของ นางสุธา จึงได้แจ้งข้อมูลให้ตำรวจทราบ เนื่องจากสงสัยในพฤติกรรมของทั้งสองผัวเมียมาตลอด เมื่อได้ยินเสียงจึงมั่นใจว่าเป็นคนลงมือฆ่าลูกสาวตนอย่างแน่นอน โดนตนต้องการให้ทั้งสองคนรับโทษประหารชีวิต เพื่อให้สาสมกับสิ่งที่ได้ทำลงไป
อย่างไรก็ตามหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าวเจ้าหน้าที่ต้องยกเลิกการทำแผนเพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย
เนื่องจากที่บ้านเกิดเหตุ มีญาติและชาวบ้านทั้งในพื้นที่ตำบลคลองแหและตำบลใกล้เคียง นับพันคนไปรวมตัวเพื่อรอดูหน้าสองผัวเมีย และยังได้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อทำบุญและช่วยเหลือครอบครัวของสองพี่น้องท่ามกลางความอาลัย ในขณะที่ชาวบ้านต่างรุมสาปแช่งคนร้ายเนื่องจากรู้จักกับเด็กทั้งสองคนเป็นอย่างดี
สำหรับคดีนี้ นางเรียม แม่ของเด็กทั้งสองคนพร้อมครอบครัวได้นำช่อดอกไม้มามอบให้กับ พล.ต.ท.ธานี ทวีชศรี ผบช.ภาค 9 และทีมตำรวจชุดสืบสวนสอบสวนเพื่อขอบคุมที่สามารถจับกุมคนร้ายได้อย่างรวดเร็ว
เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสองคนตำรวจได้แจ้งข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน โดยทรมานหรือ กระทำทุณโหดร้าย เพื่อตระเตรียมการ หรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น และร่วมกันชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย