เลื่อย ´น้ำแข็ง´ ผ่าร่างสยอง!
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 4 มี.ค. พ.ต.ท.ประพร วิบูลสุข พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.เพชรเกษม รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค ว่า มีผู้เคราะห์ร้ายถูกเลื่อยตัดน้ำแข็ง ผ่าร่างเสียชีวิต ถูกนำส่งโรงพยาบาล จึงรุดไปตรวจสอบ
เมื่อไปถึงพบศพนายนิติศักดิ์ อินทร์จันดา อายุ 16 ปี อยู่บ้านเลขที่ 16/55 หมู่ 12 ต.หนองแวงใต้ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร อยู่บนท้ายรถกระบะโตโยต้า สีน้ำเงิน ทะเบียน 5 ฎ-7979 กรุงเทพมหานคร ผู้ตาย สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำ กางเกงขาสั้นสีดำ สภาพศพถูกของมีคมกรีดผ่าตามร่างกาย เป็นแผลเหวอะหวะ โดยเฉพาะที่บริเวณสีข้างด้านซ้าย กระดูกชายโครงถูกตัดขาดไส้ทะลักออกมา บริเวณหน้าอกด้านขวาถูกของมีคมผ่ากระดูกขาดเป็นแผลฉกรรจ์เช่นกัน นางบรรเทิง ปังอุทา อายุ 26 ปี น้าสาวของนายนิติศักดิ์ เปิดร้านขายอาหารอยู่ในซอยเพชรเกษม 41 ให้การว่า ผู้ตายเพิ่งเรียนจบ ม.3 จากโรงเรียนใน จ.สกลนคร ช่วงนี้โรงเรียนปิดเทอมจึงลงมาเที่ยวและช่วยงานที่ร้าน ก่อนเกิดเหตุนายนิติศักดิ์ขอติดรถกระบะของสามีตนไปรับน้ำแข็งที่โรงน้ำแข็งเพชรสมุทร เลขที่ 9/1-4 หมู่ 5 ซอยเพชรเกษม 69 แขวงหลักสอง เขตบางแค กทม. แล้วเกิดอุบัติเหตุโดนเลื่อยตัดน้ำแข็งผ่าร่างได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงรีบนำส่งโรงพยาบาล แต่สิ้นลมลงเสียก่อน
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจโรงน้ำแข็งที่เกิดเหตุ พบว่าจุดเกิดเหตุเป็นส่วนที่ติดตั้งเครื่องตัดและบดน้ำแข็ง ลักษณะเป็นตู้สเตนเลสสูงประมาณ 1 เมตรครึ่ง ด้านหน้าเป็นช่องกว้างราว 50 ซม. สำหรับให้ก้อนน้ำแข็งเลื่อนไหลเข้าไป ช่วงห่างระหว่างช่องดังกล่าว มีแกนหมุนติดเลื่อยวงเดือนที่วางตามแนวขวาง จำนวน 8 ใบสูงประมาณ 1 เมตร ตั้งขนาบอยู่ทั้ง 2 ข้าง โดยใบเลื่อยทั้งหมดทำหน้าที่กรีดและตัดน้ำแข็ง ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนของการบดภายในตู้ นายทวีโชค เชาวนสุทธา อายุ 50 ปี เจ้าของโรงน้ำแข็ง เปิดเผยว่า ปกติเวลาจะใช้เครื่องนี้ คนงานต้องเข็นก้อนน้ำแข็งมาวางเรียงแถวไว้ก่อน ถึงจะสับสวิตช์เดินเครื่อง เพราะเมื่อเครื่องเดินใบเลื่อยหมุนแล้วค่อนข้างจะอันตราย ขณะเกิดเหตุคนงานมัวแต่ไปยุ่งอยู่ทางอื่น จึงไม่มีผู้เห็นเหตุการณ์ คาดว่าผู้ตายซึ่งเพิ่งมาที่โรงน้ำแข็งเป็นครั้งแรก คงอยากรู้อยากเห็นว่าเครื่องทำงานอย่างไรเลยลองสับสวิตช์ดู พอเลื่อยเริ่มหมุนก็เกิดแรงลมดูดดึงเอาเสื้อพร้อมตัวผู้ตายเข้าไปกรีดตัดผ่ายับเยินดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบปากคำพยานแวดล้อมและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนสอบสวนหาข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไป