วันนี้ (25 มี.ค.) ที่กองบังคับการกองปราบปราม น.ส.ณัฏฐิณี ดวงดำรงศักดิ์ เจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค
พาลูกหนี้เงินกู้นอกระบบจาก อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.โกมล สืบจาคลี พงส.(สบ3) กก.3 บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มนายทุนเงินกู้ 5 ราย ซึ่งเรียกดอกเบี้ยร้อยละ 150 ต่อปี รวมยอดหนี้สินของผู้เสียหายทั้งหมดเกือบ 2 ล้านบาท เมื่อไม่ใช้หนี้ก็ถูกข่มขู่ คุกคามเพื่อบังคับให้ลูกหนี้จ่ายดอกเบี้ยด้วยวิธีการต่างๆ จนทำให้ผู้เสียหายเกรงจะได้รับอันตราย จนต้องหนีออกจากบ้าน
น.ส.นันทิยา ใจจริง อายุ 28 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ไปกู้เงิน 450,000 บาท เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2551
ช่วงแรกก็ใช้หนี้และกู้เงินมาใหม่โดยไม่มีปัญหาอะไร ต่อมาหมุนเงินไม่ทันทำให้ดอกเบี้ยทบเงินต้นเป็นเงิน 1.2 ล้านบาท ซึ่งตนหาเงินมาใช้หนี้ได้กว่า 700,000 บาท แต่ช่วงหลังส่งดอกเบี้ยไม่ไหวจึงถูกเจ้าหนี้ข่มขู่คุกคามด้วยวิธี ต่างๆ ที่สำคัญมีการเปลี่ยนสัญญาใหม่อีกหลายครั้ง เปลี่ยนเจ้าหนี้ไปแล้ว 4 คน จนทำให้ยอดเงินต้นรวมดอกเบี้ยเพิ่มจาก 1.2 ล้านบาท เป็น 1.8 ล้านบาท โดยที่หนึ่งในเจ้าหนี้มีนายตำรวจยศ ร.ต.ท. สังกัด สภ.แห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานีรวมอยู่ด้วย
ลูกหนี้เงินกู้นอกระบบรายนี้กล่าวต่อว่า เนอกจากเจ้าหนี้จะคิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือนแล้ว ยังมีการคิดดอกเบี้ยร้อยละ 3 และ 8 ต่อสัปดาห์
หากไม่มีเงินใช้หนี้ก็ให้ไปดาวน์รถยนต์มาให้ 2 คัน หากเงินดาวน์ 600,000 บาทก็จะหักจากยอดหนี้ไป 300,000 บาท หรือถ้าดาวน์รถจักรยานยนต์ก็ต้องหามา 10 คัน เพื่อจะนำรถไปขายประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อไม่ทำตามก็จะให้ลูกน้องมาทำลายทรัพย์สินที่บ้าน และข่มขู่ต่างๆ นาน จนกลับไปที่บ้านไม่ได้ และเป็นห่วงครอบครัวจะได้รับอันตรายไปด้วย ต่อมา ทางศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคได้พาผู้เสียหายไปร้องทุกข์ต่อสำนักช่วยเหลือประชาชนทางด้านกฎหมาย สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งอัยการได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาช่วยเหลือฟ้องร้องคดีแพ่งให้สัญญาเป็นโมฆะ เนื่องจากเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ร้อยละ 1.25 ต่อเดือน หรือคิดเป็นร้อยละ 15 ต่อปี และให้มาแจ้งความที่กองปราบปรามเพื่อดำเนินคดีอาญาต่อไป