เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 23 มี.ค. นายถนอม หรือตู่ โถทอง อายุ 29 ปี พ่อค้าในตลาดคลองเตย ที่ทำหน้าที่ดูแลเต็นท์ของกลุ่มผู้ชุมนุม
เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.กู้เกียรติ จันทร์พุ่ม พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ท่าเรือ ว่า ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ทำร้ายร่างกายต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่ตำรวจแบบไม่กลัวเกรงกฎหมาย เหตุเกิดบริเวณเต็นท์กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ใต้สะพานข้ามแยกริมถนนพระราม 4 ตัดถนนรัชดาภิเษก แขวงและเขตคลองเตย กทม. ซึ่งพนักงานสอบสวน สน.ท่าเรือ ได้อำนวยความสะดวกตั้งเต็นท์ไว้รับแจ้งความผู้เสียหาย
นายถนอมถูกทำร้ายจนศีรษะแตกเลือดอาบให้การว่า ช่วงเวลาประมาณ 06.30 น. มีแม่ค้าที่อยู่บริเวณโรงน้ำแข็งโทร.มาบอกถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ข่มขู่ล้อมกรอบจะรุมทำร้าย
ตนแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบ ก่อนวิ่งไปดู พบนายธรรมนัส พรหมเผ่า หรือ ร.อ.มนัส พรหมเผ่า ประธานกรรมการบริษัทลีเกิ้ล โปรเฟสชันแนล จำกัด อยู่กับชายฉกรรจ์เกือบ 20 คน ทันทีที่เห็นตน นายธรรมนัสก็ชี้หน้าต่อว่า “ไอ้ตู่มึงหยุดบทบาททุกอย่างไปเลยนะ” จากนั้นกลุ่มลูกน้องของนายธรรมนัสก็พยายามเข้ามา จึงรีบวิ่งหนีเข้าไปที่เต็นท์กลุ่มผู้ประท้วงที่จัดงานศพนายกนก สุขแก้ว อายุ 32 ปี และนายสุขสันต์ สีหาเลิศ อายุ 36ปี ที่ถูกมือปืนยิงเสียชีวิต
มีกลุ่มลูกน้องช่วยรุมกระทืบซ้ำจนแทบฟุบกับพื้นต่อหน้าต่อตาตำรวจที่ไม่ยอมเข้ามาช่วยเหลือห้ามปราม เมื่อหนำใจแล้วกลุ่มของนายธรรมนัสได้แยกย้ายกันเดินหนีออกจากเต็นท์ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้านผู้ค้าในตลาดให้รายละเอียดสอดคล้องกันว่า กลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 30 คน แต่งกายชุดดำ เดินเข้ามาในตลาดคลองเตยข่มขู่ทำร้ายนางฟาติเมาะห์ ใจเย็น อายุ 32 ปี แม่ค้า หลายคนพยายามจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่กลับถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ห้ามไม่ให้เข้ามายุ่ง และทำท่าจับเอวเหมือนจะหยิบปืนออกมา จึงแจ้งกลุ่มผู้ชุมนุมให้เข้าไปช่วยเหลือ กระทั่งบานปลายรุมทำร้ายนายถนอมบาดเจ็บ
ต่อมา พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. เดินทางมาที่บริเวณตลาดคลองเตยเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยสีหน้าไม่พอใจการปฏิบัติงานของลูกน้อง
เนื่องจากมอบนโยบายให้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ไว้ดูแลความเรียบร้อยบริเวณดังกล่าวแล้ว แต่ยังปล่อยปละละเลยจนมีเหตุ ทั้งนี้ พล.ต.ท.วรพงษ์ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากนี้จะมีการจัดระบบความปลอดภัยใหม่ เปลี่ยนยุทธวิธีให้ ตำรวจดูแลความปลอดภัยคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย เดิมได้จัดสายตรวจตั้งจุดตรวจจุดละ 4 นาย และสายตรวจเดินเท้า 4 นาย แต่ขณะเกิดเหตุปะทะกันมีคนทั้ง 2 ฝ่ายรวม 20 กว่าคน ทำให้กำลังตำรวจไม่เพียงพอ
พล.ต.ท.วรพงษ์กล่าวอีกว่า จำเป็นต้องเพิ่มตำรวจสายตรวจเดินเท้า 12 นาย เพื่อป้องกันและเข้าระงับเหตุ ถ้าหากเกิดการปะทะกัน รวมทั้งสนับสนุนในการตรวจค้นอาวุธ เพราะพื้นที่ตลาดนั้นจัดเป็นเขตปลอดอาวุธ
ตำรวจสามารถจับกุมผู้พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนได้ ส่วนการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทในตลาดคลองเตยต้องมีการเจรจากัน มีคนกลางเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าคดีคนร้ายยิง รปภ.กลุ่มผู้ค้าในตลาด พล.ต.ท.วรพงษ์กล่าวว่า กำลังติดตามตัวและได้เบาะแสคนร้ายแล้ว ส่วนคดีทำร้ายร่างกายที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นอยู่ในขั้นตอนของการสอบสวน เบื้องต้นพอทราบแล้วว่าเป็นใคร อยู่ระหว่างตรวจสอบรายชื่อ โดยกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าแจ้งว่ามีภาพบันทึกไว้ขณะมีการทำร้ายร่างกายกัน ถ้ามีภาพปรากฏก็จะพิจารณาออกหมายเรียก หรือหมายจับ เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ตอนสายวันเดียวกัน พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. เดินทางไปที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต
เพื่อเป็นประธานประชุมมอบนโยบายการทำงานให้กับตำรวจฝ่ายสืบสวนของนครบาล ปรากฏว่า พล.ต.ท.วรพงษ์ถึงกับระบายอารมณ์ กลางที่ประชุม ยกตัวอย่างกรณีพิพาทตลาดคลองเตยว่า กลางเมืองแท้ๆปล่อยให้มีการทำร้ายกัน เคยเรียก ผกก. สส.บก.น.5 เข้าไปหารือ พบว่ากำลังไม่เพียงพอ ก็สั่งให้จัดอาวุธครบมือ และกำลังตำรวจไปเสริมตั้งเป็นเต็นท์ ส่วนหน้าห้ามมีการพกพาอาวุธเข้าไปในพื้นที่ขัดแย้ง แล้วยังมีเรื่องอีก
“เมื่อคืนท่านรองฯสุเทพ เทือกสุบรรณ โทร.หาผม บอกว่าปล่อยให้บริษัทเจ้าของสัมปทานเข้ามาทำร้ายกลุ่มผู้ค้าได้อย่างไร ผมเองรู้สึกว่า ศักดิ์ศรีของตำรวจหมดแล้ว กลัวเหรอ ถ้ากลัวก็ถอดเครื่องแบบไป ทั้งที่มอบ ให้รองผู้การคุมคนละ 12 ชั่วโมง ตอนเกิดเหตุก็ให้นายเวรโทรศัพท์ไปหารองผู้การที่คุมในเวลานั้น แต่ไม่รับสาย พอโทร.มาอีกทีบอกเหตุการณ์เรียบร้อย กำลังอาบน้ำจะมาประชุม เรื่องนี้ผมถือว่าไม่อยู่ดูแลพื้นที่ เป็นการขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ทำให้ตำรวจถูกมองในภาพลบ เหตุเกิดใกล้เต็นท์ที่ตำรวจอยู่ แต่ไม่เห็นทำอะไรเลย” ผบช.น. กล่าวก่อนออกเดินทางไปยังตลาดคลองเตย
ค่ำวันเดียวกัน นายภูโมกข์ นุ่นจันทร์ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัทลิเกิ้ลฯ ชี้แจงว่า เหตุที่เกิดเมื่อตอนเช้า นายธรรมนัส พรหมเผ่า เจ้าของบริษัทจะออกไปซื้อกับข้าวที่ตลาดเข้ามาทำเองมีลูกน้องและคนขับรถเท่านั้นไปช่วยหิ้วของ ไม่ใช่มีคนเป็นสิบอย่างที่ถูกกล่าวหา ระหว่างนั้นได้เจอนายถนอม หรือตู่ โถทอง และช่างภาพเข้ามาถ่ายแล้วชี้หน้าด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายไล่ให้นายธรรมนัสออกไป นายธรรมนัสถึงกับงงเพราะตัวเองเป็นเจ้าของสัมปทานตลาดทำไมต้องมาไล่ จากนั้นนายธรรมนัสเดินไปที่เต็นท์ที่จัดงานศพหวังถามสารทุกข์ สุกดิบญาติผู้ตายและมอบเงินช่วยเหลือ นายถนอมกลับประกาศไมค์ด่าทออีก นายธรรมนัสจึงเดินเข้าไปถามว่าทำไมพูดแบบนี้แล้วใช้มือผลักนายถนอม กระทั่งมีลูกน้องและตำรวจเข้าห้ามปราม ไม่ได้ทำร้ายร่างกายรุนแรงแต่อย่างใด ที่ผ่านมาก็ไม่ได้เป็นมาเฟียผู้มีอิทธิพลอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง นายธรรมนัสต้องการปรับปรุงตลาดให้ดีขึ้นถึงขนาดไปดูกิจการตลาดในต่างประเทศ และพยายามจัดระเบียบให้เกิดความเรียบร้อย บริษัทลิเกิ้ลฯ ต่างหากที่ตกเป็นฝ่ายถูกรังแก